วันอังคารที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2561

ศิลปะเสริมสิริมงคล แรงบันดาลใจจากนกฮูก

               สำหรับนิทรรศการศิลปะที่จัดขึ้นในประเทศไทยขณะนี้ ผมคงต้องบอกว่ามีหลากหลายงานที่น่าสนใจที่คนคออาร์ตจะได้เสพงานศิลปะได้อย่างจุใจจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นเทศกาลศิลปะนานาชาติ บางกอก อาร์ต เบียนนาเล่ 2018 (Bangkok Art Biennale)  นิทรรศการศิลปะร่วมสมัยครั้งที่ 13 ซึ่งจัดขึ้นในประเทศไทยเป็นครั้งแรก โดยมีศิลปินนานาชาติทั้ง 75 คนมาร่วมแสดงผลงาน โดยงานจะจัดตามสถานที่สำคัญในกรุงเทพมหานคร 20 แห่ง เช่น วัดอรุณราชวราราม ราชวรวิหาร, ศูนย์การเรียนรู้ธนาคารแห่งประเทศไทย, โรงแรมแมนดาริน โอเรียลเต็ล, หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร, สยามพารากอน, บ้านปาร์คนายเลิศ เป็นต้น จนถึงวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2562
         ส่วนนิทรรศการศิลปะTA-TOE (ตา-โต) ที่ศิลปินกว่า 60 คน นำแรงบันดาลใจจากนกฮูกแล้วนำมาสร้างงานศิลปะในลักษณะสื่อผสมที่มีมิติตามจินตนาการของตัวเอง ก็ถือเป็นนิทรรศการศิลปะงานหนึ่งที่น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะนกฮูก เป็นสัตว์ปีกที่หากินในเวลากลางคืน จึงมีดวงตาโตอยู่ด้านหน้าของใบหน้าเหมือนมนุษย์และสัตว์ตระกูลแมว แถมยังหมุนหัวได้เกือบรอบตัวอีกด้วย ซึ่งทางวัฒนธรรมความเชื่อของคนญี่ปุ่นก็เชื่อว่า นกฮูกนั้นเป็นสัญลักษณ์แห่งความสุขและความโชคดี
ขณะที่บางวัฒนธรรมก็เชื่อว่า นกฮูก เป็นสัญลักษณ์ของผู้ทีมีสติปัญญา โดยคนฮินดูมีความเชื่อว่านกฮูกเป็นพาหนะของพระแม่
ลักษมี มเหสีของพระวิษณุ ถือเป็นหนึ่งในตรีมูรติ เป็นเทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์และพรรณข้าว และเชื่อว่าพระนางจะขี่นกฮูกออกไปตรวจนาข้าวในเวลากลางคืน คล้ายคลึงกับคติของกรีกโบราณ ที่นกฮูกขนาดเล็กเป็นสัญลักษณ์ที่เกี่ยวข้องกับเทพีอธีนา เทพีแห่งสติปัญญานั่นเอง
ผมมีโอกาสได้พูดคุยกับ "ชาตยา ชมสวนสวรรค์" หรือคุณหน่อย ศิลปินสาวที่ร่วมแสดงงานนิทรรศการศิลปะTA-TOE ครั้งนี้ผ่านช่องทางสื่อออนไลน์  ซึ่งงานของเธอเป็นศิลปะแนวสื่อผสมลักษณะสามมิติ มีการเพ้นท์ลวดลายสีสันที่น่าสนใจทีเดียว โดยเธอบอกว่าใช้เวลากว่า 1 เดือนในการสร้างงานชิ้นนี้ออกมา ซึ่งมีแนวความคิดว่านกฮูกเป็นสัญลักษณ์แห่งความฉลาดรอบรู้ และความโชคดี เลยมีความคิดว่าอยากนำสิ่งมงคลเข้าไปผสมผสาน โดยนำอินฟินิตี้ เลขแปด เลขเก้า เพชร พลอย และอื่นๆมาจัดองค์ประกอบบวกกับงานเพ้นท์ให้มีสีสันสดใส วิ้งๆระยิบระยับเพื่อความสวยงามสะดุดตาแก่ผู้พบเห็น

เสริมสิริมงคล ซึ่งในการสร้างงาน "อินฟินิตี้ (INFINITY) นั้นเธอบอกว่ามีความทุกขั้นตอนในการสร้างงานชิ้นนี้
       ช่วงสุดท้ายของ "ตะลอนตามอำเภอใจ"  ประวัติการแสดงงานที่ผ่านมาของ ศิลปินสาว "ชาตยา ชมสวนสวรรค์" หรือคุณหน่อย เคยร่วมแสดงงานศิลปะอาทิ ปี 2556 จิตรกรรมรำลึก ครั้งที่ 3 (100 ปีเพาะช่าง) ณ เซเว่นรังสรรค์(สาทร) ปี 2559 นิทรรศการชาวสื่อศิลป์ บุปเพบุปผาชาติ ณ แซกโซโฟนผับ (อนุเสาวรีย์ชัยฯ) ปี 2559 9 ศิลปินในแผ่นดินรัชกาลที่ ๙ ณ มังคุดอาร์ตแกลอรี่ (ราชพฤกษ์) ปี 2560 นิทรรศการ อาลัยองค์อริยะราชัน ณ ซีคอนแสคว์ สาขาศรนครินทร์และบางแค ปี 2560 นิทรรศการในดวงใจนิรันทร์ ณ เดอะคริสตัล (รามอินทรา)
สำหรับนิทรรศการศิลปะTA-TOE (ตา-โต) จะจัดแสดงระหว่างวันที่ 26-31 ตุลาคม 2561 โดยมีพิธีเปิดงานในวันที่ 26 ตุลาคม เวลา18.00 น.เป็นต้นไป ณ ห้าง ดี ดี มอล์ (จตุจักร) กรุงเทพฯ 
นายตะลอน

วันจันทร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2561

เที่ยววัดโพธิ์ท่าเตียน ตำนานยักษ์พระปิดตา

             มัยเด็กๆตอนนั้นบ้านผมอยู่ฝั่งธนบุรี พอผู้ใหญ่พูดถึงวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร หรือวัดโพธิ์ท่าเตียน ฝั่งพระนคร กรุงเทพฯ ก็จะนึกถึงเรื่องเล่าของยักษ์วัดโพธิ์ ที่สู้กับยักษ์วัดแจ้ง ที่ดูแลวัดแจ้ง หรือวัดอรุณราชวราราม ราชวรมหาวิหาร ฝั่งธนบุรี กรุงเทพฯ จนกลายเป็นตำนานเรื่องเล่าทำให้เกิดท่าเตียนในปัจจุบัน
           พอนึกถึงทีไรก็อดตื่นเต้นไม่ได้กับเรื่องเล่าของผู้ใหญ่สมัยนั้นขึ้นมาเลยทีเดียว โดยยักษ์วัดโพธิ์ทำหน้าที่ดูแลวัดโพธิ์ ส่วนยักษ์วัดแจ้งก็ทำหน้าที่ดูแลวัดแจ้ง และยักษ์ทั้ง 2 ตนก็เป็นเพื่อนรักกัน วันหนึ่งยักษ์วัดแจ้งไปขอยืมเงินจากยักษ์วัดโพธิ์ เมื่อถึงกำหนดส่งเงินคืน ยักษ์วัดแจ้งกลับไม่ยอมจ่าย จึงทำให้ ยักษ์ทั้ง 2 ตนเกิดทะเลาะกัน แต่ด้วยกำลังมหาศาลของยักษ์ทั้ง 2 ตนที่เกิดจากรูปร่างที่ใหญ่โต พอเวลาต่อสู้กันจึงทำให้บริเวณนั้นราบเรียบโล่งเตียนไปหมด เมื่อพระอิศวรทราบจึงได้ลงโทษให้

ยักษ์วัดโพธิ์ไปยืนเฝ้าพระอุโบสถวัดโพธิ์ และยักษ์วัดแจ้งไปยืนเฝ้าวิหารวัดแจ้ง ซึ่งทุกวันนี้รูปปั้นยักษ์วัดโพธิ์ และยักษ์วัดแจ้งก็ยืนเด่นสง่าอวดโฉมให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศมาถ่ายรูปเป็นที่ระลึกอย่างไม่ขาดสายครับ
ครั้งหนึ่งของ "ตะลอนตามอำเภอใจ" เคยมีโอกาสมาไหว้พระที่วัดโพธิ์ ซึ่งเป็นวัดสำคัญแห่ง
หนึ่งของประเทศไทย จัดเป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรมหาวิหาร และเป็นวัดประจำรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เป็นโบราณสถาน ที่มีพระพุทธรูปเก่าแก่รอบโบสถ์มีขนาดองค์ใหญ่ที่มีความสวยงามและหาชมยากจริงๆ ซึ่งภายในวัดโพธิ์ มีสิ่งที่น่าสนใจต่างๆมากมาย อาทิ มีพระไสยาส  พระพุทธรูปขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของประเทศ โดยมีลักษณะพิเศษ คือ มีประดับมุกภาพมงคล 108 ประการที่พระบาท มีจิตรกรรมลายเส้นบอกตำแหน่งนวดแผนโบราณ นับเป็นบันทึกที่รวบรวมสรรพวิชาตำราเวชเชตุพนทั้งการแพทย์ การเมือง การปกครอง ประวัติการสร้างวัด และ วรรณคดี นับเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศ มีมหาเจดีย์  4 รัชกาล เป็นมหาเจดีย์ขนาดใหญ่ 4 องค์ องค์พระเจดีนั้นเป็นแบบเจดีย์ย่อไม้สิบสอง ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบ อันประกอบด้วย พระมหาเจดีย์ประจำรัชกาลที่ 1-4 มีต้นตำนานสงกรานต์ไทย  คติความเชื่อตำนานสงกรานต์ ซึ่งรัชกาลที่ 3 ให้จารึกลงในแผ่นศิลาติดไว้ที่วัดโพธิ์ เป็นเรื่องเล่าถึงความเป็นมาของประเพณีดังกล่าว ฯลฯ

           ช่วงสุดท้ายของ "ตะลอนตามอำเภอใจ" วัดโพธิ์ท่าเตียน หรือวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร นอกจากเป็นวัดที่นักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกนิยมมาเที่ยวที่วัดแห่งนี้แล้ว พระปิดตาผงอัฐิ ของวัดโพธิ์ท่าเตียน ยังถูถกล่าวขานโด่งดังในแวดวงพระเครื่อง เพราะมีเรื่องเล่าสืบต่อกันมามากในด้านประสบการณ์ต่างๆ เนื่องจากพระรุ่นนี้มีชื่อเสียงมาตั้งแต่ครั้งสงครามอินโดจีนราวๆปี พ.ศ. 2480 ว่ากันว่าทหารที่ไปรบถูกยิงจนล้มแต่ก็ลุกขึ้นมาสู้ใหม่ เพราะลูกปืนไม่ระคายผิว จนมีคำเรียกติดปากกันในยุคนั้นว่าทหารผี แถมยังมีประสบการณ์ครบสูตรไม่ว่าจะคงกะพัน แคล้วคลาด เมตตามหานิยมอีกด้วย...!!!
                                          "นายตะลอน" 

วันศุกร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2561

ปากน้ำปราณหนุนท่องเที่ยว ชวนกินหมึกแดดเดียวอร่อย

         คยมีคำกล่าวที่ว่า "หากจะกินหมึกแดดเดียวที่อร่อยจนลืมไม่ลงต้องมากินถิ่นปราณบุรี" คำกล่าวที่ว่าคงไม่เกินจริงเท่าใดนักเพราะมันอร่อยสมคำล่ำลือจริงๆหลังจากที่ผมได้มาลิ้มรสความอร่อยปลาหมึกที่ว่าถึงในพื้นที่อ.ปราณบุรี จ. จ.ประจวบคีรีขันธ์ ที่สำคัญยังมีโอกาสมา "ตะลอนตามอำเภอใจ" ร่วมงานแถลงข่าว "เทศกาลกินหมึกแดดเดียวและอาหารทะเล ปากน้ำปราณ ครั้งที่ 5" ที่โอเอ็กซ์ซีฟู้ด ร้านอาหารซีฟู้ดเก่าแก่ และมีชื่อเสียงอีกแห่งหนึ่งของ อ.ปราณบุรี ท่ามกลางบรรยากาศชิวๆริมชายหาด
        คุณโชตินรินทร์  เกิดสม รองผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ บอกว่าการจัดงานมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือชาวประมงได้นำสินค้าสัตว์น้ำที่ขึ้นชื่อมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากอาทิ หมึกแดดเดียว เป็นต้น เป็นการส่งเสริมและประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวของจ.ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งมีความพร้อมเหมาะแก่การท่องเที่ยว ความงดงามของสถานที่ท่องเที่ยว อาหารทะเลอาหารพื้นบ้านที่มีรสชาติเป็นเอกลักษณ์ เป็นการ
กระจายรายได้และการมีส่วนร่วมของประชาชนในท้องถิ่นอีกด้วย ซึ่งต.ปากน้ำปราณมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย และชาวต่างประเทศเป็นจำนวนมาก ได้แก่ หาดเขากะโหลก วนอุทยานปราณบุรี ศูนย์การเรียนรู้ระบบนิเวศป่าชายเลนสิรินาถราชินี เป็นต้น ซึ่งหวังว่าการจัดงานครั้งนี้ จะทำให้ประชาชนตลอดจนนักท่องเที่ยวได้รู้จักอำเภอปราณบุรี ในเรื่องของหมึกแดดเดียวที่ได้รับการยอมรับและกล่าวขานว่าอร่อยที่สุดในโลกและอาหารทะเล สด อร่อย อันจะเป็นการ
ส่งเสริมการท่องเที่ยวอีกทั้งเป็นการกระจายรายได้ให้กับคนในท้องถิ่นอีกทางหนึ่ง
ส่วนคุณกิตติพงศ์ สุขภาคกุล นายอำเภอปราณบุรี บอกว่าอยากเชิญชวนนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศมาเที่ยวงานนี้ภายในงานนอกจากมีกิจกรรมต่างๆแล้ว ยังมีร้านอาหารต่างๆที่มีชื่อเสียงของปราณบุรีมาออกบูธรวมถึงหมึกแดดเดียวที่มีชื่อเสียงของปราณบุรีด้วย เพราะมีรสชาติที่อร่อยไม่เหมือนใครจึงอยากให้นักท่องเที่ยวได้มาลองกินกันดู
             ขณะที่คุณพะนอ เดชวัน นายกอบต.ปากน้ำปราณ บอกว่าจริงๆแล้วกินหมึกแดดเดียวสามารถกินที่ไหนก็ได้แต่ถ้าอร่อยสุดต้องมากินที่ปากน้ำปราณ เพราะหมึกปากน้ำปราณจะมีความหนาเนื้อหวานมีความกรอบโดยไม่ต้องปรุงรส ตรงนี้ถือว่าชัดเจนมาก และอาหารทะเลต่างๆของที่นี่จะสดใหม่ไม่มีสิ่งเจือปนของสารต่างๆ ส่วนเรื่องการดูแลนักท่องเที่ยวก็มีเจ้าหน้าที่และคนในพื้นที่ช่วยกันดูแลอย่างดี จึงอยากต้อนรับนักท่องเที่ยวทุกท่านสู่ต.ปากน้ำปราณ
ช่วงสุดท้ายของ "ตะลอนตามอำเภอใจ" สำหรับงาน "เทศกาลกินหมึกแดดเดียวและอาหารทะเล ปากน้ำปราณ ครั้งที่ 5" จัดขึ้นระหว่างวันที่ 21 – 22 ก.ย.นี้ ตั้งแต่เวลา 16.00 น. เป็นต้นไป ณ สโมสรลานมหาราช ชายหาดปากน้ำปราณ อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ ภายในงานนอกจากจะมีการประกวดเมนูหมึกแดดเดียว และอาหารทะเลจากสุดยอดเชฟยกพลมาร่วมประชันฝีมือแล้ว ช่วงค่ำวันที่ 21 ก.ย. มีการแสดงมินิคอนเสิร์ตจากศิลปิน โรส ศิรินทิพย์  ส่วนวันที่ 22 ก.ย.มีการแสดงดนตรีสด อคูสติกกับศิลปิน ชาติ สุชาติ จากเดอะ วอยซ์ และดนตรีสไตล์บอสซ่าอีกด้วย...!!!
"นายตะลอน"

วันอังคารที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2561

ก๋วยเตี๋ยวแหกปาก สีสันความอร่อยคู่พาหุรัด

              ากจะเดินเลือกซื้อผ้าไม่ว่าจะเป็นผ้าซาติน ผ้าทราย ผ้าไหมอิตาลี่ ผ้าพลีท ผ้าเครป ผ้าไหมแก้ว หรือแม้แต่ผ้าซับใน ผ้าสักกะหลาด ผ้าลูกไม้ปราด้า ผ้าปักดิ้น เสื้อผ้าสำเร็จรูป อุปกรณ์เย็บปักถักร้อย อะไรที่เกี่ยวกับผ้า ผมรับรองได้เลยว่ามาเดินเลือกซื้อที่พาหุรัดจะได้อรรถรสอย่างมาก เพราะพาหุรัดเป็นตลาดค้าขายผ้าที่สำคัญและเก่าแก่แห่งหนึ่งของกรุงเทพมหานครเลยทีเดียวครับ
            ในสมัยกรุงธนบุรีมีชาวญวนมาตั้งบ้านเรือนอาศัยอยู่ซึ่งอพยพมาเมื่อคราวเกิดการจลาจลวุ่นวายในเมืองเว้ พระเจ้าตากสิน จึงให้รับไว้แล้วพระราชทานที่ให้พักอาศัย คือที่แถวพาหุรัดทุกวันนี้ ซึ่งเมื่อก่อนเรียกว่าบ้านญวนหรือถนนบ้านญวน จนกระทั่งสร้างถนนพาหุรัดแล้วจึงเปลี่ยนชื่อมาเรียกว่าพาหุรัดตามชื่อถนนซึ่งตั้งขึ้นในรัชกาลที่ 5 ตรงปลายที่ถนนพาหุรัดมาบรรจบกับถนนจักรเพชร มีตรอกหนึ่งซึ่งจะเข้าไปสู่สะพานหัน ตรอกนี้ตั้งชื่อใหม่ว่าวานิช 1 บริเวณนี้เรียกว่าตลาดสะพานหัน นอกจากพื้นที่ของตลาดพาหุรัดจะมีบริเวณกว้างล้อมรอบ
ด้วยถนนหลายสายแล้วตัวตลาดซึ่งเป็นตลาดเก่ายังรายล้อมด้วยอาคารพาณิชย์ขายเสื้อผ้าต่างๆข้าวของใช้ต่างๆแหล่งรวมของชาวอินเดียที่มาปักหลักค้าขายผ้ากันมานานแล้ว
     พาหุรัดนอกจากจะมีชื่อเสียงด้านตลาดผ้าที่มีชื่อเสียงแล้ว ของกินอร่อยๆทั้งอาหารคาวและอาหารหวานยังซ่อนตัวอยู่ในย่านนี้อย่างมากมาย โดยเฉพาะร้านนิวชูรสโภชนา (ก๋วยเตี๋ยวหมูเจ๊กเล็ก 100 ปี) เวลาผมมา "ตะลอนตามอำเภอใจ" ย่านพาหุรัดทีไรส่วนมากจะต้องมาแวะเวียนกินก๋วยเตี๋ยวที่ร้านนี้อยู่ตลอด บางคนก็เรียก "ก๋วยเตี๋ยวแหกปาก" เพราะเวลาสั่งอาหารที่ร้านจะมีการตะโกนบอกต่อด้วยเสียงอันดังจนกลายเป็นเอกลักษณ์ของร้านนี้  เวลาล่วงเลยผ่านไปอาม่าเจ้าของร้านแกตะโกนไม่ไหวแล้ว ปัจจุบันมีป้าซึ่งเป็นลูกจ้างแกทำงานร้านนี้มาตั้งแต่สาวๆมาแหกปากแทนอาม่า เนี่ยละคือสีสันของร้านนี้เลยก็ว่าได้
ช่วงสุดท้ายของ "ตะลอนตามอำเภอใจ" สำหรับ ร้านนิวชูรสโภชนาหาไม่ยากจากแยก
พาหุรัดไปตามถนนตรีเพชร ทางไปทางสะพานพุทธ เดินเข้าซอยจินดามณี ตรงข้ามโรงเรียนเพาะช่าง จะเจอร้านก๋วยเตี๋ยวฯ เป็นห้องแถว 2 คูหาจะเจออาม่าเจ้าของร้านยืนลวกเส้นอยู่ จะกินอะไรก็สั่งตามใจชอบ อาทิ ก๋วยเตี๋ยวต้มยำ ก๋วยเตี๋ยวเย็นตาโฟ เป็นต้น แล้วตบท้ายด้วยของหวานด้วยไอติมกะทิ ด้วยมันดับร้อนดับเผ็ดชนิดชื่นใจจริงๆนะเออ...
                                "นายตะลอน"

วันจันทร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2561

ตื่นตาตาตื่นใจ ศิลปะบนเสื้อยืด

              ทุกวันนี้เวลาเดินไปไหนมักจะเห็นลวดลายต่างๆบนเสื้อยืดที่ผู้คนสวมใส่จนตื่นตาตา ตื่นใจจริงๆ ทั้งลายกราฟฟิก ภาพศิลปะ ที่นักออกแบบได้สร้างสรรค์กันขึ้นมาอย่างหลากหลายลงบนเสื้อยืด ด้วยการซิลค์สกรีน การปั้ม การมัดย้อม และการพิมพ์ด้วยเทคนิคต่างๆ หรือแม้แต่การเพ้นท์สีลงไปบนเสื้อให้เกิดภาพต่างๆ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นงานศิลปะที่ไม่ได้หยุดอยู่แค่ผืนผ้าใบ แต่เป็นการสร้างงานศิลปะลงบนเสื้อยืดครับ
           ช่วงประมาณปี 1913-1948 จากข้อมูลพบสหรัฐอเมริกานำเสื้อยืดไปใช้ในทางการทหาร เพื่อใช้เป็นเสื้อซับเหงื่อ และจากรูปร่างของเสื้อที่เหมือนตัว T จึงเรียกเสื้อชนิดนี้ว่า T-Shirt และยังถูกนำไปใช้เป็นเสื้อสำหรับใส่ซ้อมของทีมกีฬาหลายๆทีมอีกด้วย ซึ่งเสื้อยืดเป็นเสื้อที่ไม่มีกระดุมติดเหมือนเสื้อเชิ้ตแบบปกติ ไม่มีปกเสื้อ ไม่มีกระเป๋าที่หน้าอก มีลักษณะเด่นที่เห็นได้ชัดคือตรงส่วนคอจะเป็นคอกลม แขนของเสื้อยืดนั้น
จะไม่เลยข้อศอก มีหลากหลายสีให้เลือกซื้อหรือใส่กันมากมาย
  ต่อมาสื้อยืดถูกพัฒนาให้มีการออกแบบลวดลายต่างพิมพ์ลงไปบนเสื้อยืดที่สวยงาม ทำให้กระแสการใส่เสื้อยืดถูกดึงสู่กระแสแฟชั่นจนถึงทุกวันนี้ และมีการพัฒนาลวดลายต่างๆออกสู่ตลาดเสื้อยืดทั่วโลกเอาใจทุกวัย โดยเฉพาะบรรดาวัยรุ่นได้เลือกใส่กัน ที่สำคัญหาซื้อง่ายแถมราคาขายตามท้องตลาดที่ถูกกว่าเสื้อชนิดอื่นๆทำให้เสื้อยืดเป็นที่นิยมเรื่อยมาทุกยุคทุกสมัย

         ผมมีโอกาสมา "ตะลอนตามอำเภอใจ" ที่ "ยูเนียน มอลล์" ปากทางลาดพร้าว กรุงเทพฯ วันอาทิตย์ที่ผ่านมา (2 ก.ย.61) ซึ่งเป็นแหล่งช็อปสินค้าแฟชั่นที่วัยรุ่นนิยมมาเดินกัน ภายในงานเสือยืด Festival เทศกาลเสื้อยืดอินดี้ ที่ซึ่งจัดขึ้นเพื่อเอาใจกลุ่มวัยรุ่นวัยทีนแนวอินดี้ Hipster ในงานนอกจากจะรวมเสื้อยืดสตรีทแฟชั่นชื่อดังและเสื้อยืดแนวหายากอินดี้แล้ว ในงานยังมีกิจกรรมพิเศษต่างๆ มีการสอนการพิมพ์เสื้อ

ด้วยเทคนิคทำมือด้วยน่ะ มีการแสดงมินิคอนเสริต์ และกิจกรรมอื่นๆอีกเยอะทีเดียว ผมเดินดูเสื้อยืดตามบูธต่างๆที่นำเสื้อยืดลวดลายสวยๆมาโชว์และขายแล้วมันรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับงานดีไซด์เก๋ๆของลวดลายบนเสื้อยืดจริงๆ งาน เสือยืด Festival ที่ผ่านมาแม้จะเป็นวันสุดท้ายของงาน แต่ก็คุ้มค่าที่มีโอกาสได้มาร่วมงาน อย่างน้อยๆก็ทำให้ผมคิดถึงการสกรีนเสื้อด้วยตัวเองสมัยที่เรียนศิลปะรู้สึกหัวใจกระชุ่มกระชวยอีกครั้ง
ช่วงสุดท้ายของ "ตะลอนตามอำเภอใจ" ในอดีตที่ผ่านมาการทำลายบนเสื้อยืดนอกจากเป็นแฟชั่นแล้ว เสื้อยืดสามารถสะท้อนความคิดและบุคลิกของผู้สวมใส่ได้เป็นอย่างดี แถมลวดลายต่างๆยังสามารถสะท้อนและสื่อถึงสิ่งต่างๆไม่ว่าจะเป็นการทำกิจกรรมต่างๆ การต่อต้านของกลุ่มต่างๆ ไม่เว้นแม้แต่การชุมนุมทางการเมืองของคนทั่วโลก ที่เรามักเห็นการสะท้อนแนวคิดผ่านลวดลายบนเสื้อ สะท้อนการเคลื่อนไหวอีกด้วย...!!!
 "นายตะลอน"

วันพุธที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2561

เอ๊ะมาได้ไงเนี่ย โผล่คลองบางหลวง

      วันนั้นอยู่ๆก็เดินเท้าออกจากบ้านจำได้ว่านั่งรถมาเรื่อยๆหลายต่อทั้งรถเมล์และจักรยานยนตร์รับจ้าง ยังงงๆมึนๆกับตัวเองอยู่เหมือนกัน "ตะลอนตามอำเภอใจ" จนกระทั่งถึงชุมชนคลองบางหลวง แขวงคูหาสวรรค์ เขตภาษีเจริญ กรุงเทพฯ "เอ๊ะมาได้ไงเนี่ย" (ถามตัวเองอยู่ในใจ) พอเดินข้ามคลองมาได้ เจอก้วยเตี๋ยวหมูสูตรโบราณ ตรงหัวมุมเป็นร้านอยู่ในบ้านไม้ห้องแถวริมคลอง จะรออะไรละครับบ่ายโมงกว่าแล้ว บอกเลยว่าหิวมาก แถมเจออาหารของคนกินเส้นที่ผมโปรดปรานเป็นพิเศษ จะรอช้าอยู่ใยโต๊ะว่างพอดี...
         แม่ค้ามองหน้าผม ส่วนผมก็ปล่อยเสียงออกจากปากทันที "เส้นหมี่เย็นตาโฟชามนึงครับเจ้" จริงๆคนขายน่าจะรุ่นป้าแล้วนะ ไม่น่าเชื่อเวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก ผู้ช่วยเจ้เป็นผู้หญิงรุ่นราวคราวเดียวกันยกชามก้วยเตี๋ยวมาวางไว้บนโต๊ะด้านหน้าผมเย็นตาโฟสีสันน่ากินทีเดียว ขอเวลากินก้วยเตี๋ยวก่อนละ ส่วนใครที่มาคลองบางหลวงก็ลองมากินก้วยเตี๋ยวร้านเจ้แกดูนะรับรองไม่ผิดหวังเรื่องความอร่อยครับ
          แหล่งท่องเที่ยวอย่างคลองบางหลวง เมื่อสองปีที่แล้วที่ผมเคยมากับวันนี้ ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมไม่ว่าจะเป็นบ้านเรือนที่ปลูกเป็นห้องแถวไม้เรียงรายบริเวณริมคลองและปรับเปลี่ยนมาเป็นร้านค้า ขายอาหาร ข้าวของเครื่องใช้ เสื้อผ้า ร้านตัดผม เสริมสวย นวดฝ่าเท้า ร้านกาแฟนั่งชิวๆ ร้านโชห่วยพื้นบ้าน รวมถึงงานศิลปะต่างๆ สิ่งเหล่านี้ ยังคงเป็นเสน่ห์พื้นบ้านเติมเต็มความสุขสำหรับผู้ที่มาเยือนจากภายนอกชุมชนไม่เปลี่ยนแปลง
ในสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสิน ราชสำนักย้ายมาอยู่ที่กรุงธนบุรี คลองบางกอกใหญ่กลายมาเป็นชุมชนของข้าหลวง และโปรดเกล้าให้บรรดาคนจีนซึ่งได้เคยช่วยเหลือพระองค์มาตั้งบ้านเรือนอยู่ริมคลองบางกอกใหญ่ ชาวบ้านจึงเรียกกันติดปากว่า "คลองบางข้าหลวง" หรือ "คลองบางหลวง" สืบมาถึงในปัจจุบัน และต่อมารัฐบาลจอมพลถนอม กิตติขจร กำหนดให้คลองบางกอกใหญ่เป็นคลองสำคัญซึ่งจะต้องอนุรักษ์ไว้ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2510 ปากคลองบางกอกใหญ่แยกจาก
แม่น้ำเจ้าพระยาทางฝั่งขวาของป้อมวิไชยประสิทธิ์ ไปสิ้นสุดที่คลองมอญ ตรงข้ามปากคลองชักพระมีความยาวประมาณ 6 กิโลเมตร
 ช่วงสุดท้ายของ "ตะลอนตามอำเภอใจ" ถ้ามาเที่ยวที่คลองบางหลวง ก็อย่าลืมแวะเวียนมาทำบุญเที่ยวชมวัดวัดกำแพง เป็นวัดเล็กๆที่อยู่คู่คลองบางหลวงมานานแล้ว สันนิษฐานว่าสร้างสมัยกรุงศรีอยุธยา มีปูชนียสถานที่สำคัญ คือ หลวงพ่ออู่ทอง หรือที่ชาวบ้านเรียกหลวงพ่อโต ประดิษฐานอยู่ในวิหารหลวงพ่ออู่ทอง เป็นพระปางสมาธิหน้าตักกว้าง 2.49 เมตร ศิลปะแบบอู่ทอง องค์พระพุทธรูปสันนิษฐานว่าเป็นหินทรายแดง นอกจากนี้มีพระปรางค์โบราณ แม้จะบูรณะซ่อมแซมใหม่ แต่ยังคงรักษาสภาพเดิมไว้ และยังค้นพบเศียรพระหินทรายแดงในห้องใต้ดินอีกด้วย วันนี้บอกได้เลยว่าอิ่มท้องอิ่มบุญแถมได้ออกกำลังขาด้วยการเดินอีกด้วย...!!!
                 "นายตะลอน"

วันศุกร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2561

สร้างศิลปะภาพถ่ายโทรศัพท์ สะท้อนความงามกรุงเทพฯ

              คยมีคำกล่าวที่ว่าภาพถ่ายที่ดีนั้นจะต้องสะท้อนความจริงที่เกิดขึ้น สามารถสื่อเรื่องราวได้อย่างชัดเจนและถูกต้อง และในอดีตการจะได้ภาพถ่ายสักรูป ก็ต้องใช้กล้องถ่ายรูปบันทึกภาพ พอถ่ายเสร็จก็ต้องนำฟิล์มไปล้างเพื่อให้ได้ภาพหรือรูปที่ถ่ายไว้ และถือเป็นกระบวนการการถ่ายภาพกล้องฟิล์ม และต้องมาลุ้นว่าภาพที่ถ่ายมานั้นเมื่อล้างออกมาเป็นรูปหรือภาพแล้วจะดูดี สวย หรือเสีย ซึ่งถือเป็นเสน่ห์และคลาสสิคมากๆในกระบวนการถ่ายภาพกล้องฟิล์ม
            ปัจุบันด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยล้ำหน้าอย่างฉุดไม่อยู่เข้าสู่ยุคดิจิตอล การสื่อสารที่ล้ำหน้ารวดเร็วในโซเซียลมีเดีย รวมถึงเครื่องมือสารอย่างโทรศัพท์ที่ถูกพัฒนาให้เทคโนโลยีทันสมัย สอดรับกับสื่อโซเซียลมีเดีย มีการพัฒนากล้องถ่ายรูปในโทรศัพท์อย่างสมาร์ทโฟน และแอปพลิเคชันต่างๆที่ช่วยให้การใช้โทรศัพท์ถ่ายภาพสนุกมากขึ้น และสร้างศิลปะบนภาพถ่ายชนิดไร้ขีดจำกัดอีกด้วย
   แน่นอนว่าผมหยิบยกเรื่องราวการถ่ายภาพมาเขียนถึง เพราะมีโอกาสมา "ตะลอนตามอำเภอใจ" ที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร  แยกปทุมวัน กรุงเทพฯ เดินชมนิทรรศการภาพถ่าย บิวติฟูล แบงก์ค็อก สมาร์ทโฟน โฟโต้คอนเทส บาย เอ็มคิวดีซี (Beautiful Bangkok : Smartphone Photo Contest By MQDC) ซึ่งแมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเมนต์ คอร์เปเรชั่น (MQDC) ร่วมกับ โฟโต้บางกอก ชวนผู้รักการถ่ายภาพจับจังหวะความงามของกรุงเทพฯ ในมุมมองของตนเองจากสมาร์ทโฟน ภายใต้แนวคิด Beautiful Bangkok หรือ ความงามกรุงเทพฯ
แล้วส่งเข้าประกวดเพื่อร่วมแสดงนิทรรศการภาพถ่ายจากสมาร์ทโฟนครั้งแรกในเมืองไทย เพราะการถ่ายภาพด้วยโทรศัพท์มือถือไม่เพียงแต่สร้างแรงบันดาลใจให้กับคนทั่วไปเท่านั้น แต่ยังสามารถก้าวข้ามพรหมแดนสู่โลกศิลปะอีกด้วยโดยภาพถ่ายที่ได้รับการคัดเลือกได้จัดแสดงที่หอศิลปวัฒนธรรมฯ ระหว่างวันที่ 8 สิงหาคม – 9 กันยายน 2561
  สำหรับนิทรรศการการประกวดถ่ายภาพ บิวติฟูล แบงก์ค็อกฯ ถือเป็นส่วนหนึ่งของเทศกาลโฟโต้บางกอก 2018 และยังมี
นิทรรศการภาพถ่ายหลักๆที่จัดขึ้นด้วย อาทิ โพสต์-รีโพสต์-แชร์, ไทย นิวเวฟ, เฟรนช์ คอนเน็คชั่น,ทาร์เก็ทส์, โฟโต้บุค แอส แอน อ็อบเจ็คต์ โฟโต้บุค วูห์แครส์, สตรีท โฟโต้กราฟ และ อินเตอร์แอคทีฟ อินสตอเรชั่น โดยคุณปิยทัต เหมทัต ผู้อำนวยการศิลปะ เทศกาลโฟโต้บางกอก 2018 เล็งเห็นว่า เทศกาลภาพถ่ายที่จัดขึ้นทุกๆ 3 ปี และเริ่มขึ้นครั้งแรกในปี 2015 เป็นการเปิดพื้นที่ให้ศิลปินช่างภาพของไทยและทวีปเอเชียได้ร่วมแสดงผลงาน ตลอดจนพบปะแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับศิลปะภาพถ่าย  ซึ่งเทศกาลโฟโต้บางกอก 2018 จะช่วยชูความพร้อมของกรุงเทพฯ ในการเป็นศูนย์กลางของเอเชีย ที่มีความสามารถจัดงานด้านทัศนศิลป์สาขาภาพถ่ายร่วมสมัย ให้เป็นที่รู้จักระดับสากล และกระตุ้นทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาศิลปะภาพถ่ายในประเทศให้ตื่นตัวด้วย
                  ช่วงสุดท้ายของ "ตะลอนตามอำเภอใจ" การเดินชมนิทรรศการภาพถ่าย บิวติฟูล แบงก์ค็อกฯ บริเวณผนังโค้งชั้น 7-8 ของหอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร นอกจากจะได้เห็นความงดงามและเรื่องราวต่างๆในกรุงเทพมหานคร ที่สะท้อนผ่านภาพถ่ายจากผู้ผ่านการคัดเลือกร่วมแสดง 600 ภาพ  ซึ่งมีภาพของผม (นายตะลอน) ถูกคัดเลือกร่วมจัดแสดงด้วย 1 ภาพ (ชื่อภาพฉันง่วง) เป็นภาพผู้ชายกำลังนอนอยู่บนเก้าอี้บริเวณป้ายรถประจำทาง ซึ่งที่มาของภาพคือผมนั่งรถเมล์ผ่านมาแถวซอยรางน้ำ อนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ กรุงเทพฯ มีแสงแดดตกกระทบสวยงามบนร่างของผู้ชายที่นอนอยู่ ในความรู้สึกส่วนตัวที่เห็นขณะนั้น อีกทั้งยังสะท้อนวิถีชีวิตของคนที่อยู่ในเมืองหลวงอย่างกรุงเทพฯ ด้วย จึงใช้โทรศัพท์ถ่ายภาพเก็บไว้...!!!
                            "นายตะลอน"

วันอังคารที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2561

เปิดมิติหนังทางปัญญา ศิลปะภาพเคลื่อนไหว

             "มึกย่าง ถังแตก โอเลี้ยง ชาดำเย็น น้ำเย็นๆมาแล้ว" เสียงพ่อค้าเดินเร่ขายปลาหมึกแห้งย่างเสียบไม้ใหญ่ๆ ขนมถังแตกทำจากแป้งใส้ในโรยงา น้ำตาล และมะพร้าว อันใหญ่ๆหนานุ่ม ฯลฯ ภายใน "หนังกลางแปลง" ตามงานวัดต่างๆ พอนึกถึงทีไรมันมีความสุขและอบอุ่นกับวิถีบ้านๆขณะนั้นอย่างบอกไม่ถูก สมัยนั้นบ้านผมอยู่ฝั่งธนบุรี แถวถนนเอกชัย บางขุนเทียน ย่านนี้จะมีวัดอยู่ติดๆกันหลายวัด เวลามีหนังกลางแปลงมาฉายที่วัดไหน หน้าที่ของผมคือหอบเสื่อมาจองที่ให้ตัวเองผู้ใหญ่แต่หัววัน เพราะผู้ใหญ่เวลาเลิกงานกลับบ้านจะได้มีที่นั่งดูหนังกัน กว่าหนังจะฉายก็ประมาณ 2 ทุ่ม เด็กๆอย่างพวกผมก็วิ่งเล่นกันแถววัดยาวไป พอหนังฉายได้สักเรื่องก็หลับไหลไม่รู้เรื่อง พอรู้สึกตัวก็นั่นละผู้ใหญ่ปลุกให้ตื่นกลับบ้าน เพราะหนังที่ฉายเรื่องแรกๆจะหนังไม่ค่อยดี ตามภาษาชาวบ้านนะ ส่วนหนังดีๆเขาจะฉายท้ายๆ เพื่อดึงดูดคอหนังให้นั่งอยู่ยาวๆกัน และนี่ก็ถือเป็นประสบการณ์ในการดูหนัง หรือภาพยนตร์สมัยเด็กๆของผม จริงๆอยากเขียนอยากเล่าผ่านตัวหนังสือให้มากกว่านี้นะ เพราะมีเรื่องที่อยากเขียนอีกเยอะเลยแต่เอาไว้แค่นี้ก่อน เพราะเดี๋ยวจะยาวไป แต่ก็ดูเหมือนจะยาวจริงๆเสียแล้ว
        วันนี้มาเขียนถึงเรื่องหนังหรือภาพยนตร์ เพราะเมื่อวันเสาร์สัปดาห์ที่ผ่านมา (11 ส.ค.2561) มีโอกาสมา "ตะลอนตามอำเภอใจ" ที่RCAC BKK หอศิลป์ร่วมสมัยราชดำเนิน ร่วมงานเสวนาศิลปินศิลปาธร พ.ศ. 2561 สาขาภาพยนตร์และสื่อเคลื่อนไหว ซึ่งมีคุณโสฬส สุขุม หรือคุณทองดี โปรดิวเซอร์อิสระ ผู้ได้รับรางวัลศิลปาธร จากสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม มาเล่าถึงประสบการณ์การทำภาพยนตร์ในห้วงเวลาที่ผ่านมา แน่นอนครับว่าสำหรับผมการได้นั่งฟังเสวนาครั้งนี้ ถือเป็นการเปิดมิติใหม่ทางปัญญาพอสมควร เพราะที่ผ่านมาก็ไม่ใช่คนที่จะได้ดูภาพยนตร์อะไรนักหนา เพราะบางทีก็เบื่อหนังที่เน้นเอาฮาอย่างเดียวบางครั้งก็หาสาระไม่ค่อยเจอ แต่ก็พอเข้าใจว่าผู้สร้างหนัง นายทุนหรือเจ้าของเม็ดเงิน บางทีก็ต้องเน้นผลประโยชน์ทางธุรกิจมากกว่าจะเน้นสาระให้เกิดปัญญากับชาวบ้าน
           สำหรับคุณโสฬส สุขุม หรือคุณทองดี จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยรังสิต สาขาภาพยนตร์ และน่าจะเป็นโปรดิวเซอร์อิสระเพียงไม่กี่คนที่มีอยู่ในประเทศไทยขณะนี้ ซึ่งยืนหยัดสร้างหนังหรือภาพยนตร์อิสระ หนังทางเลือกที่ไม่เน้นทางธุรกิจ แต่ที่ผ่านมาภาพยนต์ที่คุณโสฬส อยู่เบื้องหน้าและเบื้องหลังก็ได้รับการตอบรับจากคอหนังแนวนี้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ อย่างมากมาย จนปลุกกระแสให้ผู้คนหันมาสนใจหนังอิสระมากขึ้น อาทิ ปี 2550 ภาพยนตร์ Wonderful Town กำกับโดยคุณอาทิตย์ อัสสรัตน์ ปี2552 ภาพยนตร์ Hi-so กำกับโดยคุณอาทิตย์ อัสสรัตน์ ปี2552 ภาพยนตร์ เจ้านกกระจอก กำกับโดยคุณอโนชา สุวิชากรพงศ์ ปี2552 ภาพยนตร์ ที่รัก กำกับโดยคุณศิวโรจน์ คงสกุล ปี2557 ภาพยนตร์ภวังค์รัก กำกับโดยคุณลี ชาตะเมธีกุล ปี2555 ภาพยนตร์แต่เพียงผู้เดียว กำกับโดยคุณคงเดช จาตุรันต์รัศมี ปี2556 ภาพยนตร์ตั้งวง กำกับโดยคุณคงเดช จาตุรันต์รัศมี ปี2557 ภาพยนตร์เอวัง กำกับโดยคุณคงเดช จาตุรันต์รัศมี ปี2559 ภาพยนตร์Snap แค่…ได้คิดถึง กำกับโดยคุณคงเดช จาตุรันต์รัศมี ปี2559 ภาพยนตร์ดาวคะนอง กำกับโดยคุณอโนชา สุวิชากรพงศ์  และภาพยนตร์Motel Mist หรือ โรงแรมต่างดาว กำกับโดยคุณปราบดา หยุ่น นักเขียนชื่อดังผันตัวมาทำภาพยนตร์เป็นเรื่องแรกของตัวเอง
                 ช่วงสุดท้ายของ "ตะลอนตามอำเภอใจ" เขียนเพลินจนเกือบจะเกินพื้นที่ สำหรับหนังทางเลือก หรือภาพยนตร์อิสระในอนาคตจะเติบโตอย่างแข็งแรงได้มากน้อยแค่ไหน ถ้าได้รับการสนับสนุนอย่างจริงจังจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยพลักดันและขับเคลื่อนก็คงจะดีกว่าที่ผ่านมา  นอกเหนือจากการพึ่งพากองทุนต่างประเทศ และบริษัทเอกชนบางแห่ง ซึ่งที่ผ่านมาถือเป็นท่อน้ำเลี้ยงสำคัญของคนทำภาพยนตร์แนวนี้เป็นหลักใหญ่แต่ก็ใช่ว่าจะได้รับการสนับสนุนอยู่ตลอด เพื่อให้คนทำหนังประเภททางเลือกหรือหนังอิสระสามารถสร้างงานศิลปะภาพเคลื่อนไหวได้อย่างแข็งแรงและมั่นคง และเป็นการเปิดมิติใหม่ทางปัญญาผ่านการดูหนังอิสระสะท้อนสังคม หรือภาพยนตร์นอกกระแส เพื่อเป็นทางเลือกหนึ่งของประชาชน...!!!
                                "นายตะลอน"

วันศุกร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2561

เยือนถิ่นตลาดผ้าเก่าแก่ กินก๋วยเตี๋ยวพม่าพาหุรัด

        มัยก่อนตอนผมเด็กๆช่วงที่เรียนหนังสืออยู่ชั้นป.ว.ช.มีโอกาสแวะเวียนมาย่านพาหุรัด เยาวราช บ้านหม้อ ปากคลองตลาด อยู่บ่อยครั้ง ขณะนั้นบ้านผมอยู่แถวถนนเอกชัย ฝั่งธนบุรี แต่มีโอกาสข้ามฝั่งมาเที่ยวย่านนี้อยู่บ่อยครั้ง ซึ่งสถานที่ต่างๆเหล่านี้สามารถเดินเท้าถึงกันหมด และหากรู้จักตรอกซอกซอยด้วยแล้ว ก็ยิ่งสะดวกในการเดินลัดซอยนู้นไปทะลุออกซอยนี้ไม่ต้องเดินอ้อมถนนให้เมื่อยขาครับ 



        ถ้าจะบอกว่าย่านพาหุรัดกับผมมันมีความพูกพันอะไรบางอย่างทางใจก็คงจะไม่ผิด เพราะขนาดมาปักหลักแถวชานเมืองกรุงเทพฯแถวรังสิต ก็ยังนั่งรถลงเรือโหนรถไฟมาเยือนถิ่นพาหุรัดอยู่บ่อยๆ อาจจะเป็นเพราะส่วนตัวชอบบรรยากาศการค้าการขาย วัฒนธรรมที่หลากหลายของผู้คนย่านนี้ เวลาได้เห็นมองทางนู้นที ทางนี้ทีมันเพลินตาไปหมด แถมยังมีของกินอร่อยๆให้เราได้เลือกกินอย่างหลากหลายด้วยนะ
นอกจากนี้ พาหุรัดยังเป็นตลาดผ้เก่าแก่ มีสินค้าให้เลือกอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นผ้าตัดชนิดต่างๆ อุปกรณ์ตัดเย็บเสื้อผ้าสำเร็จรูปทั้งแฟชั่น และท้องถิ่นของชาติต่างๆ อาทิ ชุดไทย จีน แขก และอื่นๆอีกมากมายหลายเชื้อชาติจริงๆ ซึ่งในย่านนี้ก็มีห้างดิโอลด์สยามพลาซ่าสามารถมาเดินชิวๆเพลินๆได้ ห้างอินเดีย เอ็มโพเรียม และห้างไชน่า เวิลด์ สมัยก่อนเป็นห้างเซ็นทรัลวังบูรพา ผมทันนะสมัยเด็กๆมาเดินอยู่บ่อยๆ ใกล้ๆกันก็มีวัดซิกข์แห่งแรกของไทย คือวัดคุรุดวาราศรีคุรุสิงห์สภาอีกด้วย


ล่าสุดผมมีโอกาสมา "ตะลอนตามอำเภอใจ" เยือนถิ่นพาหุรัด ชนิดเดินทะลุทะลวงอีกครั้ง ระหว่างเดินมาตามตรอกหลังห้างอินเดียเอ็มโพเรียม ก็มองไปเห็นร้านขายอาหารริมทางเดิน มีผู้ชายต่างชาติก้มๆเงยๆกินอาหารกันอย่างออกรสชาติ แถมมีป้ายเขียนบอกว่าก๋วยเตี๋ยวพม่า เป็นภาษาไทย ส่วนตัวอักษรภาษาอื่นๆ อ่านไม่ออกจริงๆน่ะแต่ไม่เป็นไรแค่นี้ก็ทำให้ผมสะดุดหยุดนิ่งหน้าร้านแล้วละ พอได้
เก้าอี้นั่งจะรอช้าอยู่ใย แม่ค้ามองหน้านิดนึง คนข้างผมที่นั่งกินอยู่ก่อนแล้ว แหมๆสีสันน่ากินดีน่ะ ผมเลยบอกแม่ค้าว่าเอาเหมือนคนข้างๆนี่ละ แม่ค้าอมยิ้มเล็กน้อยก่อนจะลงมือทำก้วยเตี๋ยวให้ผม
สักพักนึงแม่ค้ายกก๋วยเตี๋ยวมาให้ คล้ายๆเส้นเล็กแห้งที่เคยกินอยู่ประจำ แต่แตกต่างกันคงจะเป็นเครื่องปรุงเฉพาะถิ่นไม่มีลูกชิ้นนะ อยากกินเผ็ดก็มีเครื่องปรุงคล้ายๆน้ำพริกเผาใส่เข้าไปสิ มีผงชูรสเป็นกระปุ๊กตั้งไว้ให้ใส่ไม่อั้น สำหรับคนชอบ แหมๆทีแรกเข้าใจว่าน้ำตาล หลังจากปรุงเสร็จจัดการก๋วยเตี๋ยวพม่าเสียหมดจาน อร่อยดีเหมือนกัน สงนราคาก็ 40 บาท วันหน้าถ้ามี
โอกาสผ่านมาอีก คงต้องมากินซ้ำอีกรอบ เพราะรอบนี้ผมปรุงไม่ค่อยครบสูตรเท่าไหร่คิดว่าน่ะ
ช่วงสุดท้ายของ "ตะลอนตามอำเภอใจ" ก่อนจะมาเป็นย่านพาหุรัดจนถึงทุกวันนี้ ว่ากันว่าในสมัยกรุงธนบุรี เรียกว่าบ้านญวนหรือถนนบ้านญวน เพราะพระเจ้ากรุงธนบุรีพระราชทานที่ให้ชาวญวนที่อพยพมาตั้งบ้านเรือนอาศัยอยู่ จนกระทั่งสร้างถนนพาหุรัดแล้วจึงเปลี่ยนชื่อมาเรียกว่าพาหุรัดตามชื่อถนน เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหกผมคงต้องโบกมือลาย่านพาหุรัดไปก่อนว่างๆจะกลับมาเยือนใหม่ก็
แล้วกัน...!!!
                          "นายตะลอน"