ิ "ตลาดตรอกหม้อ" ถือเป็นหนึ่งในตลาดทีคึกคักและเก่าแก่ที่สุด ย่านเมืองเก่าของกรุงเทพฯตั้ง
อยู่ในแขวงวัดราชบพิธ

ิ "ตลาดตรอกหม้อ" ถือเป็นหนึ่งในตลาดทีคึกคักและเก่าแก่ที่สุด ย่านเมืองเก่าของกรุงเทพฯตั้ง
อยู่ในแขวงวัดราชบพิธ
รสชาติเข้มข้นกลมกล่อมสะท้อนถึงเอกลักษณ์ของอาหารไทยที่ได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมตะวันออกกลางและอินเดีย แต่ก็ถูกปรับเปลี่ยนให้เข้ากับรสชาติของคนไทยจนกลายเป็นเมนูที่ทานได้ทุกเพศทุกวัย ความอร่อยแบบนี้หาทานได้ไม่ยาก แม้แต่ในร้านอาหารตามสั่ง ร้านข้าวแกงทั่วไปก็ยังมีให้เลือกทาน
นี่แหละคือเสน่ห์ของอาหารไทยที่ไม่เพียงแต่เป็นอาหาร แต่ยังเป็นการถ่ายทอดวัฒนธรรมและความทรงจำจากรุ่นสู่รุ่นอีกด้วย
สายลมเย็นๆ พัดผ่านใบหน้าขณะที่เดินเรื่อยเปื่อย ตะลอนตามอำเภอใจไปตามถนนย่านสี่พระยา กรุงเทพฯ แสงแดดอ่อนๆ ทำให้บรรยากาศดูผ่อนคลาย การเดินแบบนี้ได้ออกกำลังกายเบาๆ และยังได้สัมผัสชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คน ได้เห็นตึกแถวเก่าแก่สลับกับอาคารสมัยใหม่มันเป็นประสบการณ์ที่น่าประทับใจเสมอ
เดินมาได้สักพัก ความหิวเริ่มถามหา สายตาเหลือบไปเห็นร้านไก่ทอดเล็กๆ กลิ่นหอมกรุ่นของไก่ทอดกระตุ้นต่อมรับรสอย่างเหลือเชื่อ เลยต้องแวะเข้าไปสั่งไก่ทอดสองชิ้นกับข้าวเหนียวห่อหนึ่ง รสชาติของไก่ทอดร้อนๆ กรอบนอกนุ่มในเข้ากันได้ดีกับข้าวเหนียวเหนียวนุ่ม เพียงเท่านี้ก็อิ่มท้องพร้อมที่จะเดินต่อแล้วนะ
ความเป็นมาของบะหมี่นั้นยาวนาน มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ยืนยันว่า มีการรับประทานบะหมี่มาแล้วไม่ต่ำกว่าสี่พันปี การค้นพบชามบะหมี่โบราณในมณฑลชิงไห่ ประเทศจีน เมื่อปี พ.ศ. 2545 ซึ่งมีอายุถึงสี่พันปี เป็นเครื่องยืนยันถึงความเก่าแก่และความสำคัญของบะหมี่ในประวัติศาสตร์อาหารโลก ไม่เพียงแต่ในจีนเท่านั้น แต่ยังมีการพัฒนาและดัดแปลงสูตรบะหมี่ให้หลากหลายไปตามแต่ละภูมิภาคและวัฒนธรรม จนกลายเป็นอาหารยอดนิยมที่แพร่หลายไปทั่วโลก
นอกจากหลักฐานทางโบราณคดีแล้ว ยังมีตำนานและเรื่องเล่าเกี่ยวกับบะหมี่อีกมากมาย เช่น เรื่องเล่าที่กล่าวว่าบะหมี่แห้งถือกำเนิดขึ้นในสมัยราชวงศ์ซ่งและราชวงศ์หยวน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงวิวัฒนาการและการพัฒนาของอาหารชนิดนี้ ตลอดระยะเวลาหลายร้อยปี บะหมี่ได้ผ่านการปรับปรุงและพัฒนาสูตร จนมีให้เลือกหลากหลายรูปแบบ ทั้งบะหมี่น้ำ บะหมี่แห้ง บะหมี่ผัด และอื่นๆ อีกมากมาย แต่ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใด บะหมี่ก็ยังคงเป็นอาหารที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง และยังคงมีบทบาทสำคัญในวัฒนธรรมอาหารของหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยของเราด้วย
ชวนให้นึกถึงฉากในภาพยนตร์จีนกำลังภายในที่คุ้นเคย โรงเตี้ยมเก่าๆ ผู้คนพลุกพล่าน เหล่าจอมยุทธต่างนั่งจิบน้ำชา กินหมั่นโถว เป็นภาพที่อบอุ่นและน่าประทับใจ หมั่นโถว อาหารง่ายๆแต่กลับอิ่มท้อง กินแทนข้าวได้สบายๆ
ยิ่งไปกว่านั้น มันยังเป็นอาหารจีนโบราณ ที่มีตำนานเล่าขานสืบต่อกันมา กล่าวกันว่า หมั่นโถวถือกำเนิดตั้งแต่สมัยสามก๊ก ความเก่าแก่ ความเรียบง่าย และรสชาติที่อร่อย
ทำให้หมั่นโถวเป็นมากกว่าขนม มันคือส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมจีน ที่ยังคงอยู่คู่กับผู้คนมาจนถึงทุกวันนี้ ทุกคำที่กัดกิน จึงไม่ใช่แค่การรับประทานอาหาร แต่เป็นการเดินทางย้อนเวลาไปสัมผัสกับเรื่องราวต่างๆมากมาย
ในภาคกลาง ขนมจีนมักเสิร์ฟพร้อมน้ำยาหลากหลายชนิด เช่น น้ำยาปู น้ำยาปลา น้ำยากะทิ หรือน้ำพริกต่างๆ รสชาติเข้มข้นกลมกล่อม รับประทานคู่กับผักสดหลากสีสัน เช่น ผักกาดขาว ถั่วงอก แตงกวา และใบแมงลัก เพิ่มความสดชื่นและช่วยตัดรสชาติเผ็ดร้อนได้เป็นอย่างดี
สำหรับภาคเหนือ ขนมจีนหรือที่เรียกว่า "ข้าวเส้น" มักรับประทานกับน้ำเงี้ยว น้ำซุปใสรสชาติกลมกล่อมที่ปรุงจากกระดูกหมู เครื่องในหมู และผักต่างๆ เสิร์ฟพร้อมแคบหมูกรอบๆ เพิ่มความหอมกรุ่นและรสชาติที่ลงตัว
ในภาคอีสาน ขนมจีนหรือ "ข้าวปุ้น" นิยมรับประทานกับน้ำยาที่ปรุงจากปลาร้า ซึ่งมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว และรสชาติจัดจ้าน นอกจากนี้ยังนิยมนำขนมจีนมาใช้ทำส้มตำ หรือที่เรียกว่า "ตำซั่ว" ซึ่งเป็นเมนูที่ผสมผสานความแซ่บของส้มตำกับความนุ่มนวลของเส้นขนมจีนได้อย่างลงตัว
สุุุดท้ายในภาคใต้ ขนมจีนหรือ "โหน้มจีน" มักรับประทานกับแกงไตปลา แกงที่มีรสชาติจัดจ้าน เผ็ดร้อน และกลิ่นหอมเฉพาะตัวของไตปลา รับประทานคู่กับผักสดต่างๆ เพื่อช่วยลดความเผ็ดร้อนและเพิ่มความสดชื่น
ขนมจีนจึงไม่เพียงเป็นอาหารเส้นที่ได้รับความนิยม แต่ยังเป็นตัวแทนของความหลากหลายทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญาการทำอาหารไทย ที่สะท้อนให้เห็นถึงเอกลักษณ์เฉพาะตัวของแต่ละภาค และสร้างความประทับใจให้กับผู้ได้ลิ้มลอง ไม่ว่าจะเป็นชาวไทยหรือชาวต่างชาติ
การเดินเรื่อยเปื่อยตะลอนไปตามซอกซอยต่างๆ เพลิดเพลินกับการชมสินค้ามากมาย ตั้งแต่อาหารสดใหม่ๆ ผักผลไม้หลากสีสัน จนถึงอาหารแห้ง และของกินสารพัดชนิด ที่วางเรียงรายอยู่ เสื้อผ้ามือหนึ่งและมือสองก็มีให้เลือกสรร เดินไปเรื่อยๆก็เจอร้านขายของชำเก่าแก่ที่ยังคงรักษาเอกลักษณ์ดั้งเดิมเอาไว้ได้อย่างดี
แล้วสายตาก็ไปสะดุดกับร้านต้มเลือดหมูเล็กๆริมทางดูบ้านๆ แต่ดูน่ากินทีเดียว ไม่รอช้าจึงสั่งต้มเลือดหมูมาหนึ่งชาม รสชาติกลมกล่อมเครื่องในสดใหม่ กินคู่กับข้าวสวยอิ่มอร่อยจนจุกทีเดียว
บรรยากาศของตลาดสายหยุดไม่เพียงแต่เป็นแหล่งรวมอาหารและสินค้ามากมาย แต่ยังเป็นเสมือนศูนย์รวมของชุมชน ภาพชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านที่เรียบง่าย อบอุ่นและน่าประทับใจ
คุณคิดเหมือนผมไม๊เวลาถูกด่า "ไอ้ควาย" ทำไมเรารู้สึกหัวร้อน โกรธ ไม่พอใจ ทั้งๆที่ตั้งแต่โบราณควายถือเป็นสัตว์ที่มีคุณประโยชน์กับคนมากมาย เพราะเราใช้ควายไถนาปลูกข้าวให้คนกิน แม้ในปัจจุบันเราจเปลี่ยนมาใช้รถไถนาแทนการใช้ควายไถนาก็ตามที
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อปัจจุบันเนื้อควายราคาแพงกว่าเนื้อวัว เนื้อหมูอีกด้วยนะแถมบางประเทศสเต็กที่ทำจากเนื้อควายก็มีราคาแพงกว่าสเต็กเนื้อวัวด้วยซ้ำไป
อันที่จริงเวลาใครมาด่า "ไอ้ควาย" เราไม่ควรหัวร้อน ควรยิ้มรับอย่างภาคภูมิใจ เพราะเขากำลังยกย่องว่าคุณเป็นคนที่ขยันและอดทนเหมือนควาย ขอบคุณสำหรับคำชมเชิญด่ารัวๆได้เลย "ไอ้ควาย"
และน่าจะเป็นแรงงานต่างด้าวชาวเมียนมาหลบหนีเข้าเมือง เนื่องจากมีเชือกสีน้ำเงินผูกที่ข้อมือขวา ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่ขบวนการขนแรงงานเถื่อนจะผูกไว้เพื่อแยกว่ามาจากกลุ่มไหน
หลายคนเชื่อการพบศพชาวเมียนมาครั้งนี้อาจเป็นวิญญาณของคนตายดลจิตดลใจให้คนพบเห็นศพ จนตำรวจชุดสืบสวนตำรวจภูธร จ.สงขลาและชุดสืบสวนตำรวจตรวจคนเข้าเมือง จ.สงขลา และผู้เกี่ยวข้อง สามารถขยายผลติตามจับกุมชายชาว จ.สมุทรสาคร ซึ่งเป็นคนขับรถยนต์ตู้ทึบขนคนเมียนมา จำนวน 33 คน และรับว่าเป็นคนขับรถนำศพชาวเมียนมามาทิ้ง เพราะเป็นลมเสียชีวิตในรถ
นับเป็นคดีสะเทือนขวัญที่อยู่ในความสนใจของสังคมคดีหนึ่ง กรณีชาวบ้านไปตกปลาพบสาวปริศนาผมสีทอง อายุประมาณ 30 ปี ถูกฆาตรกรรมนำศพยัดกระเป๋าเดินทางสภาพเปลือยกายถ่วงสระน้ำแห่งหนึ่งในพื้นที่ อ.บ้านฉาง จ.ระยอง คาดว่าเสียชีวิตไม่ต่ำกว่า 5 วัน เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา
แน่นอนว่าคดีนี้ประชาชนให้ความสนใจ และคงอยากรู้ว่าผู้หญิงที่ถูกฆาตรกรรมเธอเป็นใครกัน ที่สำคัญคนทำเป็นใคร และฆ่าเธอทำไม ซึ่งตำรวจในพื้นที่กำลังเร่งตามหาญาติของสาวเคราะห์ร้ายคนนี้อยู่เพื่อจะได้รู้ว่าเธอคือใคร
และบรรดานักสืบของตำรวจภูธรภาค 2 คงต้องทำงานกันอย่างหนักเพื่อหาคนร้ายรายนี้มาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
เรื่องมันสั้นตามอำเภอใจ / เสียงผู้คนจ๊อกแจ๊กจอแจและดูวุ่นวายไปหมดสำหรับบรรยากาศเร่งรีบช่วงเช้าๆภายในตลาดเช้าย่านชานเมืองหลวง ซึ่งที่ร้านกาแฟในตลาดฮือฮาอย่างมาก เพราะ "อาแป๊ะ" แกใส่เสื้อเกราะมาขายกาแฟ
ลูกค้าขาประจำคนหนึ่งจึงทักทายอาแป๊ะอย่างออกรสชาติ "โหแป๊ะวันนี้ลื้อกินยาลืมเขย่าขวดหรือไงวะใส่เสื้อเกราะยังกับจะไปออกรบ"
"อาแป๊ะ มองหน้าลูกค้าพร้อมออกอาการปาก คอสั่น แล้วบอกว่า "ช่วงนี้ลื้อไม่ดูข่าวเหรอ ไข้ปั้งระบาด เอะอะก็ปั้ง ปั้ง ปั้ง เมื่อไม่นานนี้วัยรุ่น ปั้ง ปั้ง การ์ดผับดังดับอนาถที่ศรีษะเกษ ส่วนอีกรายที่อยุธยา คนร้ายขับจักรยานยนต์กระหน่ำ ปั้ง ปั้ง ปั้ง อดีตครูดับอนาถคารถเก๋ง"
เมื่อลูกค้าได้ยิน"อาแป๊ะ"เล่าอย่างออกรสชาติ จึงบอก "อาแป๊ะ" ว่า "อั้วว่าตอนนี้ลื้อรีบๆชงกาแฟดีกว่าเพราะลูกค้ารอคิวเยอะแล้ว ก่อนที่ลื้อจะเจอ ปั้ง ปั้ง"
เรื่องมันสั้นตามอำเภอใจ / ร้านกาแฟเล็กๆในตลาดเช้าชานเมือง เสียงคนพูดคุยกันพอจับใจความได้
"เฮ้ยแป๊ะเดี่ยวนี้ลื้อเอาโซ่ล่ามหม้อน้ำต้มกาแฟเลยเหรอเมื่อก่อนไม่เห็นกลัวหายเลย" ลูกค้าคนหนึ่งทักอาแป๊ะด้วยความแปลกใจ
อาแป๊ะพอได้ยินลูกค้าทักแกก็เลยบอกว่า "ช่วงนี้มีข่าวว่า "สแกนหม้อ" กำลังระบาดหนัก อั้วเลยต้องล่ามไว้ก่อนกลัวหม้อหาย"
เมื่อลูกค้าได้ยินเช่นนั้นจึงบอกว่า "โธ่แป๊ะลื้อเล่นฮาแต่เช้าเลยนะไอ้ที่ระบาดเขาไม่ได้เรียก "สแกนหม้อ" เขาเรียก "สแกมเมอร์"