ส่วนผมเองมันอดไม่ได้ที่จะซอกแซก เก็บภาพนู่นนี่ ถ่ายมันไปเรื่อย ในที่สุดก็ได้ใช้งาน ก็เลยถือโอกาสนำมาเล่าสู่กันฟังก็แล้วกัน แม้ผมจะไม่ได้มานอนดูดาวที่ลานแห่งนี้ ในช่วงกลางคืน ที่เป็นที่ติดตรึงใจของผู้คนมากมายที่เคยมานอนดูดาว ท้องฟ้า สวยงาม ปรอดโปร่งก็ตาม แต่ในช่วงเช้าวันนั้น ก็ถือว่าได้บรรยากาศพอควร ทั้งหมอกที่ลงหนา มีฝนตกโปรยปรายชุ่มฉ่ำพอควร
"ลานดูดาว" สูงจากระดับน้ำทะเล 1,466 เมตร เป็นสถานที่กางเต็นท์แห่งหนึ่งของอุทยานแห่งชาติดอยภูคา บรรกาศโดยรอบเย็นสบาย
เพราะมีต้นไม้ปกคลุมเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะต้นนางพญาเสือโคร่งจะบานสะพรั่งเป็นสีชมพูทั่วบริเวณลานดูดาว เมื่อเข้าสู่เดือนกุมภาพันธ์
ลานดูดาวที่อุทยานฯดอยภูคา ยังเป็นสถานที่ชมพระอาทิตย์ตกดินที่สวยงาม อีกแห่งหนึ่งเช่นกัน
สำหรับอุทยานแห่งชาติดอยภูคา จังหวัดน่าน มีพื้นที่ทั้งหมด 1,065,000 ไร่ หรือ ประมาณ 1,704 ตารางกิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ 8 อำเภอในจังหวัดน่าน คือ อำเภอเฉลิมพระเกียรติ อำเภอท่าวังผา อำเภอปัว อำเภอเชียงกลาง อำเภอทุ่ง

ช้าง อำเภอบ่อเกลือ อำเภอสันติสุข และอำเภอแม่จริม อุทยานแห่งชาติดอยภูคาเป็นป่าที่มีความอุดมสมบูรณ์มีทั้งพืชพรรณและสัตว์ป่า มีความสำคัญต่อระบบนิเวศ เทือกเขาดอยภูคาประกอบด้วยแนวภูเขาสูงสลับซับซ้อน ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของปลายเทือกเขาหิมาลัย โดยมียอดภูคาเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดของจังหวัดน่าน สูงถึง 1,980 เมตร จากระดับน้ำทะเล
"ดอยภูคา" เป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำหลายสาย เช่น แม่น้ำ
น่าน ลำน้ำปัว และลำน้ำว้า บริเวณนี้เดิมเคยเป็นทะเลมาก่อน ก่อนจะเกิดการเคลื่อนตัวของแผ่นดินสอง



"อุทยานแห่งชาติดอยภูคา" นอกจากจะมีสภาพพื้นที่เป็นเทือกเขาสูงสลับซับซ้อน ซึ่งมีทิวทัศน์ที่สวยงามตามธรรมชาติ อากาศบริสุทธิ์ โดยเฉพาะยอดดอยภูคา มีเมฆปกคลุมตลอดฤดูฝนและฤดูหนาว จึงมีทิวทัศน์ที่สวยงามมาก ดอยภูคา เป็นป่าที่มีความอุดมสมบูรณ์ที่มีทั้งพืชพรรณและสัตว์ป่าที่มีความสำคัญต่อ ระบบนิเวศน์ รวมทั้งเป็น แหล่งกำเนิดของแม่น้ำหลายสาย เช่น แม่น้ำน่าน ลำน้ำปัว
ลำน้ำว้า ที่คอยหล่อเลี้ยงชีวิตของชาวจังหวัดน่าน และยังมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ กล่าวคือ เป็นที่เชื่อกันว่าเทือกเขาดอยภูคาเป็นเมืองเก่าของบรรพบุรุษ ของคนเมืองน่านและในปัจจุบันนี้ก็ยังมีศาลเจ้าพ่อภูคา ตั้งอยู่บริเวณกิโลเมตรที่ 31 ถนนสายปัง-บ่อเกลือ อันเป็นที่เคารพสักการะของชาวจังหวัดน่าน
ส่วน "ต้นชมพูภูคา" "ดร.ธวัชชัย สันติสุข" ผู้เชี่ยวชาญพฤกษศาสตร์ป่าไม้ กรมป่าไม้ เป็นผู้สำรวจพบเป็นครั้งแรกในเขตอุทยานแห่งชาติดอยภูคา เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2532 ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี ชมพูภูคาจะผลิดอกตามปลายกิ่งเป็นช่อสีชมพูยาว 30-35เซนติเมตร เมื่อfvdบานจะทำให้ช่อดอกเป็นพุ่มสวยงาม ชมพูภูคาเป็นพันธุ์ไม้ที่เคยมีการสำรวจพบตามหุบเขาแถบมณฑลยูนนานทางตอนใต้ ของประเทศจีนและทางเหนือของเวียดนาม จากนั้นก็ไม่มีรายงานการค้นพบพืชชนิดนี้อีก พื้นที่ป่าดิบเขาดอยภูคาจึงอาจเป็นแหล่งกำเนิดสุดท้ายของชมพูภูคา ซึ่งเป็นไม้หายากใกล้สูญพันธุ์ชนิดหนึ่งของโลก จุดชมต้นชมพูภูคาที่เข้าถึงง่ายที่สุดอยู่ ริมถนนห่างจากที่ทำการไป 5 กิโลเมตร
เส้นทางศึกษาธรรมชาติชมพูภูคา มี 2 เส้นทาง คือ เส้นทางศึกษาธรรมชาติดอกชมพูภูคามีทั้ง เส้นรอบใหญ่ มีระยะทางประมาณ 4 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินประมาณ 3 ชั่วโมง และเส้นทางรอบเล็ก มีระยะทาง 2 กิโลเมตร ใช้เวลาเดิน ประมาณ 1.5 ชั่วโมง ซึ่งจะพบพันธุ์ไม้ที่หายากและพันธุ์เฉพาะถิ่นสมุนไพร เป็นต้น และเส้นทางศึกษาธรรมชาติป่าดึกดำบรรพ์ (ดอยดงหญ้าหวาย) มีระยะทางประมาณ 7 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินประมาณ 5 ชั่วโมง ซึ่งเป็นแหล่งดูนก ที่มีนกไต่ไม้สีสวยที่พบเพียงแห่งเดียวในประเทศไทยและนกชนิดอื่นๆ อีกด้วย
อันที่จริงสาหรับในพื้นที่ "อุทยานแห่งชาติดอยภูคา" ยังมีความหลากหลายอีกหลายที่ โดยเฉพาะเส้นทางธรรมชาติ สำหรับนักท่องเที่ยวที่ชอบอะไรที่มันๆ แต่ผมเล่าไม่หมด เอาพอประมาณก็แล้วกัน อย่างน้อยก็อยากบอกให้รู้ว่าประเทศไทย ยังมีอะไรน่าสนใจอีกมากมายสำหรับผู้ที่ชอบเดินทาง แต่ที่แน่ๆผมก็มีโอกาสผ่านไป"ลั่นล้า" ดูดาว ที่"ลานดูดาว" ช่วงเช้ามาแล้ว แม้ไม่มีดาวให้เห็นแต่อย่างน้อยก็ได้เห็น "ทะเลหมอก" ขอบอก 555.......!!!!
นวย เมืองธน ********************************************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น