สมัยเด็กๆตอนนั้นบ้านผมอยู่ฝั่งธนบุรี พอผู้ใหญ่พูดถึงวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร หรือวัดโพธิ์ท่าเตียน ฝั่งพระนคร กรุงเทพฯ ก็จะนึกถึงเรื่องเล่าของยักษ์วัดโพธิ์ ที่สู้กับยักษ์วัดแจ้ง ที่ดูแลวัดแจ้ง หรือวัดอรุณราชวราราม ราชวรมหาวิหาร ฝั่งธนบุรี กรุงเทพฯ จนกลายเป็นตำนานเรื่องเล่าทำให้เกิดท่าเตียนในปัจจุบัน
พอนึกถึงทีไรก็อดตื่นเต้นไม่ได้กับเรื่องเล่าของผู้ใหญ่สมัยนั้นขึ้นมาเลยทีเดียว โดยยักษ์วัดโพธิ์ทำหน้าที่ดูแลวัดโพธิ์ ส่วนยักษ์วัดแจ้งก็ทำหน้าที่ดูแลวัดแจ้ง และยักษ์ทั้ง 2 ตนก็เป็นเพื่อนรักกัน วันหนึ่งยักษ์วัดแจ้งไปขอยืมเงินจากยักษ์วัดโพธิ์ เมื่อถึงกำหนดส่งเงินคืน ยักษ์วัดแจ้งกลับไม่ยอมจ่าย จึงทำให้ ยักษ์ทั้ง 2 ตนเกิดทะเลาะกัน แต่ด้วยกำลังมหาศาลของยักษ์ทั้ง 2 ตนที่เกิดจากรูปร่างที่ใหญ่โต พอเวลาต่อสู้กันจึงทำให้บริเวณนั้นราบเรียบโล่งเตียนไปหมด เมื่อพระอิศวรทราบจึงได้ลงโทษให้
ยักษ์วัดโพธิ์ไปยืนเฝ้าพระอุโบสถวัดโพธิ์ และยักษ์วัดแจ้งไปยืนเฝ้าวิหารวัดแจ้ง ซึ่งทุกวันนี้รูปปั้นยักษ์วัดโพธิ์ และยักษ์วัดแจ้งก็ยืนเด่นสง่าอวดโฉมให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศมาถ่ายรูปเป็นที่ระลึกอย่างไม่ขาดสายครับ
ครั้งหนึ่งของ "ตะลอนตามอำเภอใจ" เคยมีโอกาสมาไหว้พระที่วัดโพธิ์ ซึ่งเป็นวัดสำคัญแห่ง
หนึ่งของประเทศไทย จัดเป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรมหาวิหาร และเป็นวัดประจำรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เป็นโบราณสถาน ที่มีพระพุทธรูปเก่าแก่รอบโบสถ์มีขนาดองค์ใหญ่ที่มีความสวยงามและหาชมยากจริงๆ ซึ่งภายในวัดโพธิ์ มีสิ่งที่น่าสนใจต่างๆมากมาย อาทิ มีพระไสยาส พระพุทธรูปขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของประเทศ โดยมีลักษณะพิเศษ คือ มีประดับมุกภาพมงคล 108 ประการที่พระบาท มีจิตรกรรมลายเส้นบอกตำแหน่งนวดแผนโบราณ นับเป็นบันทึกที่รวบรวมสรรพวิชาตำราเวชเชตุพนทั้งการแพทย์ การเมือง การปกครอง ประวัติการสร้างวัด และ วรรณคดี นับเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศ มีมหาเจดีย์ 4 รัชกาล เป็นมหาเจดีย์ขนาดใหญ่ 4 องค์ องค์พระเจดีนั้นเป็นแบบเจดีย์ย่อไม้สิบสอง ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบ อันประกอบด้วย พระมหาเจดีย์ประจำรัชกาลที่ 1-4 มีต้นตำนานสงกรานต์ไทย คติความเชื่อตำนานสงกรานต์ ซึ่งรัชกาลที่ 3 ให้จารึกลงในแผ่นศิลาติดไว้ที่วัดโพธิ์ เป็นเรื่องเล่าถึงความเป็นมาของประเพณีดังกล่าว ฯลฯ
ช่วงสุดท้ายของ "ตะลอนตามอำเภอใจ" วัดโพธิ์ท่าเตียน หรือวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร นอกจากเป็นวัดที่นักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกนิยมมาเที่ยวที่วัดแห่งนี้แล้ว พระปิดตาผงอัฐิ ของวัดโพธิ์ท่าเตียน ยังถูถกล่าวขานโด่งดังในแวดวงพระเครื่อง เพราะมีเรื่องเล่าสืบต่อกันมามากในด้านประสบการณ์ต่างๆ เนื่องจากพระรุ่นนี้มีชื่อเสียงมาตั้งแต่ครั้งสงครามอินโดจีนราวๆปี พ.ศ. 2480 ว่ากันว่าทหารที่ไปรบถูกยิงจนล้มแต่ก็ลุกขึ้นมาสู้ใหม่ เพราะลูกปืนไม่ระคายผิว จนมีคำเรียกติดปากกันในยุคนั้นว่าทหารผี แถมยังมีประสบการณ์ครบสูตรไม่ว่าจะคงกะพัน แคล้วคลาด เมตตามหานิยมอีกด้วย...!!!
"นายตะลอน"
พอนึกถึงทีไรก็อดตื่นเต้นไม่ได้กับเรื่องเล่าของผู้ใหญ่สมัยนั้นขึ้นมาเลยทีเดียว โดยยักษ์วัดโพธิ์ทำหน้าที่ดูแลวัดโพธิ์ ส่วนยักษ์วัดแจ้งก็ทำหน้าที่ดูแลวัดแจ้ง และยักษ์ทั้ง 2 ตนก็เป็นเพื่อนรักกัน วันหนึ่งยักษ์วัดแจ้งไปขอยืมเงินจากยักษ์วัดโพธิ์ เมื่อถึงกำหนดส่งเงินคืน ยักษ์วัดแจ้งกลับไม่ยอมจ่าย จึงทำให้ ยักษ์ทั้ง 2 ตนเกิดทะเลาะกัน แต่ด้วยกำลังมหาศาลของยักษ์ทั้ง 2 ตนที่เกิดจากรูปร่างที่ใหญ่โต พอเวลาต่อสู้กันจึงทำให้บริเวณนั้นราบเรียบโล่งเตียนไปหมด เมื่อพระอิศวรทราบจึงได้ลงโทษให้
ยักษ์วัดโพธิ์ไปยืนเฝ้าพระอุโบสถวัดโพธิ์ และยักษ์วัดแจ้งไปยืนเฝ้าวิหารวัดแจ้ง ซึ่งทุกวันนี้รูปปั้นยักษ์วัดโพธิ์ และยักษ์วัดแจ้งก็ยืนเด่นสง่าอวดโฉมให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศมาถ่ายรูปเป็นที่ระลึกอย่างไม่ขาดสายครับ
ช่วงสุดท้ายของ "ตะลอนตามอำเภอใจ" วัดโพธิ์ท่าเตียน หรือวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร นอกจากเป็นวัดที่นักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกนิยมมาเที่ยวที่วัดแห่งนี้แล้ว พระปิดตาผงอัฐิ ของวัดโพธิ์ท่าเตียน ยังถูถกล่าวขานโด่งดังในแวดวงพระเครื่อง เพราะมีเรื่องเล่าสืบต่อกันมามากในด้านประสบการณ์ต่างๆ เนื่องจากพระรุ่นนี้มีชื่อเสียงมาตั้งแต่ครั้งสงครามอินโดจีนราวๆปี พ.ศ. 2480 ว่ากันว่าทหารที่ไปรบถูกยิงจนล้มแต่ก็ลุกขึ้นมาสู้ใหม่ เพราะลูกปืนไม่ระคายผิว จนมีคำเรียกติดปากกันในยุคนั้นว่าทหารผี แถมยังมีประสบการณ์ครบสูตรไม่ว่าจะคงกะพัน แคล้วคลาด เมตตามหานิยมอีกด้วย...!!!
"นายตะลอน"