ช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา มีโอกาสมา "ตะลอนตามอำเภอใจ" ที่เกาะเกร็ด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี และได้มาไหว้พระทำบุญที่วัดฉิมพลีสุทธาวาส หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่าวัดฉิมพลี ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศใต้บนเกาะเกร็ด เป็นวัดโบราณที่สร้างขึ้นในสมัยอยุธยา พระอุโบสถมีขนาดเล็กงดงามมาก แบบมหาอุตม์
และยังมีสภาพสมบูรณ์แบบดั้งเดิม หน้าบันจำหลักไม้เป็นรูปเทพทรงราชรถ ล้อมรอบด้วยลายดอกไม้ ซุ้มประตูเป็นทรงมณฑป ซุ้มหน้าต่างแบบหน้านาง ยังคงเห็นความงามอยู่ และฐานโบสถ์โค้งแบบเรือสำเภา ขณะที่พระประธานในโบสถ์เป็นพระพุทธรูปหล่อปางมารวิชัย มีพุทธลักษณะงดงาม ประดิษฐานบนแท่น ปั้นลายด้วยปูน ปิดทองประดับกระจกสี มีผ้าทิพย์ที่งดงาม มีพระสาวกนั่งพนมมืออยู่บนฐานด้านหน้า
ส่วนด้านข้างโบสถ์มีเจดีย์ทรงมอญ เรียกว่าพระมหาจุฬามณี
เจดีย์ สร้างแบบย่อมุมไม้สิบหก สมัยกรุงศรีอยุธยา มีเจดีย์ราย 4 องค์ มหาจุฬามณีเจดีย์ประดับกระจกสีตั้งแต่บัวกลุ่มรองรับองค์คอระฆัง เป็นเจดีย์ย่อมุมไม้สิบหกองค์เดียวของ จ.นนทบุรี ที่สร้างสมัยอยุธยาและมีความงดงามมาก มีกำแพงแก้วรอบอุโบสถเหมือนกับเป็นกำแพงเมือง มีหงส์คู่อยู่ข้างประตูด้านนอก
จากข้อมูลการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ระบุว่าวัดฉิมพลีสร้างขึ้นในสมัยอยุธยาตอนกลาง เดิมชื่อว่า วัดป่าฝ้าย สันนิษฐานว่าแต่เดิมน่าจะมีการปลูกฝ้ายกันมากในบริเวณนี้ ถูกทิ้งร้างไปพร้อมกับวัดป่าเลไลยก์ที่อยู่ติดกัน บางคนเรียกวัดนี้ว่าวัดป่าฝ้ายร้าง วัดป่าฝ้ายสร้างเมื่อพม่ายึดเมืองนนทบุรีและด่านปากเกร็ด เมื่อ พ.ศ.2308 จนมาถึงพม่าตีกรุงศรีอยุธยาแตกในปี พ.ศ.2310 ต่อมาปี พ.ศ.2317 พระเจ้าตากสินมหาราชทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้คนมอญที่อพยพหนีพม่ามาตั้งถิ่นฐานอยู่บนเกาะเกร็ด จึงได้มีการบูรณะวัดป่าฝ้ายขึ้นมาอีกครั้ง
ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 2 สันนิษฐานว่าพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยได้ทรง
พระกรุณาโปรดเกล้าให้พระยาวิเชียรวารีเป็นแม่กองบูรณปฏิสังขรณ์ประมาณ พ.ศ.2358 และพระราชทานนามวัดเป็น "วัดฉิมพลี" ซึ่งชื่อเต็มของวัดฉิมพลี คือวัดฉิมพลีสุทธาวาส คำว่า "สุทธาวาส" ที่พ่วงท้ายชื่อใกล้เคียงกับชื่อเดิมของวัดสุทัศน์ คือ วัดมหาสุทธาวาส วัดแห่งนี้ได้ชื่อว่าเป็นวัดที่มีอุโบสถงดงามที่สุดใน จ.นนทบุรี เป็นโบสถ์แบบมหาอุตม์ที่ยังรักษาลักษณะสถาปัตยกรรมแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาไว้ได้มาก การบูรณะในช่วงรัชกาลที่ 2 คงมีการ
บูรณะใหม่ทั้งวัด และในสมัยรัชกาลที่ 5 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้บูรณะวัดปากอ่าว หรือวัดปรมัยยิกาวาส ในครั้งนั้นได้มีพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชบริพารตามเสด็จมาบูรณะวัดฉิมพลีสุทธาวาสและวัดใกล้เคียงด้วย
ช่วงสุดท้ายของ "ตะลอนตามอำเภอใจ" วัดฉิมพลี เป็นวัดประจำชุมชนด่านขนอน มีวัดป่าเลไลยก์ และวัดกลางเกร็ด เป็นวัดใกล้เคียงกัน วัดทั้ง 3 แห่ง เป็นวัดที่มีความงดงามยิ่งกว่าวัดแห่งอื่นๆ ในพื้นที่ปากเกร็ด วัดฉิมพลีสุทธาวาสอยู่ใกล้ด่านปากเกร็ด มีเรือสำเภามาจอดอยู่บริเวณด่านจำนวนมาก ก็มีการเอาตุ๊กตาจีนมาใช้เป็นอับเฉาถ่วงเรือกันเรือโคลง หลังจากนั้นก็นำเอาตุ๊กตาเหล่านั้นมาประดับตกแต่งวัด ที่โดดเด่นคือตุ๊กตาใหญ่ สูงประมาณ 2 เมตร 1 คู่ที่อยู่ข้างซุ้มประตูโบสถ์ นับเป็นวัดเดียวในจังหวัดนนทบุรี แม้แต่ในกรุงเทพฯ เองก็มีไม่กี่วัดเท่านั้นที่จะมีตุ๊กตาจีนใหญ่ขนาดนี้ ตุ๊กตาทั้งคู่เคยถูกขโมยไปจะออกนอกทะเลทาง จ.สมุทรปราการ แต่แสดงปาฏิหาริย์ลังแตกจนนำกลับมาได้ดังเดิม ใบหน้าของตุ๊กตายิ้มแย้มแจ่มใสต้อนรับคนที่เข้ามานมัสการพระในอุโบสถอีกด้วย และนี่คือประวัติวัดฉิมพลีส่วนหนึ่งที่อยู่คู่เกาะเกร็ดมาตั้งแต่สมัยอยุธยา...!!!
นายตะลอน
และยังมีสภาพสมบูรณ์แบบดั้งเดิม หน้าบันจำหลักไม้เป็นรูปเทพทรงราชรถ ล้อมรอบด้วยลายดอกไม้ ซุ้มประตูเป็นทรงมณฑป ซุ้มหน้าต่างแบบหน้านาง ยังคงเห็นความงามอยู่ และฐานโบสถ์โค้งแบบเรือสำเภา ขณะที่พระประธานในโบสถ์เป็นพระพุทธรูปหล่อปางมารวิชัย มีพุทธลักษณะงดงาม ประดิษฐานบนแท่น ปั้นลายด้วยปูน ปิดทองประดับกระจกสี มีผ้าทิพย์ที่งดงาม มีพระสาวกนั่งพนมมืออยู่บนฐานด้านหน้า
ส่วนด้านข้างโบสถ์มีเจดีย์ทรงมอญ เรียกว่าพระมหาจุฬามณี
เจดีย์ สร้างแบบย่อมุมไม้สิบหก สมัยกรุงศรีอยุธยา มีเจดีย์ราย 4 องค์ มหาจุฬามณีเจดีย์ประดับกระจกสีตั้งแต่บัวกลุ่มรองรับองค์คอระฆัง เป็นเจดีย์ย่อมุมไม้สิบหกองค์เดียวของ จ.นนทบุรี ที่สร้างสมัยอยุธยาและมีความงดงามมาก มีกำแพงแก้วรอบอุโบสถเหมือนกับเป็นกำแพงเมือง มีหงส์คู่อยู่ข้างประตูด้านนอก
จากข้อมูลการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ระบุว่าวัดฉิมพลีสร้างขึ้นในสมัยอยุธยาตอนกลาง เดิมชื่อว่า วัดป่าฝ้าย สันนิษฐานว่าแต่เดิมน่าจะมีการปลูกฝ้ายกันมากในบริเวณนี้ ถูกทิ้งร้างไปพร้อมกับวัดป่าเลไลยก์ที่อยู่ติดกัน บางคนเรียกวัดนี้ว่าวัดป่าฝ้ายร้าง วัดป่าฝ้ายสร้างเมื่อพม่ายึดเมืองนนทบุรีและด่านปากเกร็ด เมื่อ พ.ศ.2308 จนมาถึงพม่าตีกรุงศรีอยุธยาแตกในปี พ.ศ.2310 ต่อมาปี พ.ศ.2317 พระเจ้าตากสินมหาราชทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้คนมอญที่อพยพหนีพม่ามาตั้งถิ่นฐานอยู่บนเกาะเกร็ด จึงได้มีการบูรณะวัดป่าฝ้ายขึ้นมาอีกครั้ง
ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 2 สันนิษฐานว่าพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยได้ทรง
พระกรุณาโปรดเกล้าให้พระยาวิเชียรวารีเป็นแม่กองบูรณปฏิสังขรณ์ประมาณ พ.ศ.2358 และพระราชทานนามวัดเป็น "วัดฉิมพลี" ซึ่งชื่อเต็มของวัดฉิมพลี คือวัดฉิมพลีสุทธาวาส คำว่า "สุทธาวาส" ที่พ่วงท้ายชื่อใกล้เคียงกับชื่อเดิมของวัดสุทัศน์ คือ วัดมหาสุทธาวาส วัดแห่งนี้ได้ชื่อว่าเป็นวัดที่มีอุโบสถงดงามที่สุดใน จ.นนทบุรี เป็นโบสถ์แบบมหาอุตม์ที่ยังรักษาลักษณะสถาปัตยกรรมแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาไว้ได้มาก การบูรณะในช่วงรัชกาลที่ 2 คงมีการ
บูรณะใหม่ทั้งวัด และในสมัยรัชกาลที่ 5 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้บูรณะวัดปากอ่าว หรือวัดปรมัยยิกาวาส ในครั้งนั้นได้มีพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชบริพารตามเสด็จมาบูรณะวัดฉิมพลีสุทธาวาสและวัดใกล้เคียงด้วย
ช่วงสุดท้ายของ "ตะลอนตามอำเภอใจ" วัดฉิมพลี เป็นวัดประจำชุมชนด่านขนอน มีวัดป่าเลไลยก์ และวัดกลางเกร็ด เป็นวัดใกล้เคียงกัน วัดทั้ง 3 แห่ง เป็นวัดที่มีความงดงามยิ่งกว่าวัดแห่งอื่นๆ ในพื้นที่ปากเกร็ด วัดฉิมพลีสุทธาวาสอยู่ใกล้ด่านปากเกร็ด มีเรือสำเภามาจอดอยู่บริเวณด่านจำนวนมาก ก็มีการเอาตุ๊กตาจีนมาใช้เป็นอับเฉาถ่วงเรือกันเรือโคลง หลังจากนั้นก็นำเอาตุ๊กตาเหล่านั้นมาประดับตกแต่งวัด ที่โดดเด่นคือตุ๊กตาใหญ่ สูงประมาณ 2 เมตร 1 คู่ที่อยู่ข้างซุ้มประตูโบสถ์ นับเป็นวัดเดียวในจังหวัดนนทบุรี แม้แต่ในกรุงเทพฯ เองก็มีไม่กี่วัดเท่านั้นที่จะมีตุ๊กตาจีนใหญ่ขนาดนี้ ตุ๊กตาทั้งคู่เคยถูกขโมยไปจะออกนอกทะเลทาง จ.สมุทรปราการ แต่แสดงปาฏิหาริย์ลังแตกจนนำกลับมาได้ดังเดิม ใบหน้าของตุ๊กตายิ้มแย้มแจ่มใสต้อนรับคนที่เข้ามานมัสการพระในอุโบสถอีกด้วย และนี่คือประวัติวัดฉิมพลีส่วนหนึ่งที่อยู่คู่เกาะเกร็ดมาตั้งแต่สมัยอยุธยา...!!!
นายตะลอน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น