"ตะลอนตามอำเภอใจ"-แม่น้ำและลำคลองน้อยใหญ่ ล้วนมีความสำคัญต่อการดำรงอยู่ของทุกชีวิต ในอดีต "แม่น้ำเจ้าพระยา" ถือเป็นเส้นทางคมนาคม และยังเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญในกรุงเทพฯ  มีคลองหลายแห่งที่ขุดขึ้น ด้วยเหตุผลนี้ จำนวนคลองที่มากมายนั้น ทำให้เราได้รับการขนานนามว่าเป็น "เวนิสตะวันออก" ช่วงปลายๆสัปดาห์ที่ผ่านมา (15 ก.ค.54) ซึ่งตรงกับวันพุทธศาสนาของไทย คือวันอาสาฬหบูชา
 ผมมีโอกาส "ตะลอนตามอำเภอใจ" นั่งเรือด่วนโดยสาร ล่องแม่น้ำเจ้าพระยา ชมความงดงามของกรุงเทพฯ  ตลอดทางของแม่น้ำเจ้าพระยาของทั้งสองฝั่ง ผมสามารถสัมผัสได้ถึงวิถีชีวิตชุมชนต่างๆมาก
     ผมมีโอกาส "ตะลอนตามอำเภอใจ" นั่งเรือด่วนโดยสาร ล่องแม่น้ำเจ้าพระยา ชมความงดงามของกรุงเทพฯ  ตลอดทางของแม่น้ำเจ้าพระยาของทั้งสองฝั่ง ผมสามารถสัมผัสได้ถึงวิถีชีวิตชุมชนต่างๆมาก
 มาย ที่มีเสน่ห์ดึงดูดใจอย่างยิ่งยวด  ได้ชมวิถีชีวิตของชาวบ้านริมน้ำ ไม่ว่าจะเป็นบ้านของชาวบ้าน
มาย ที่มีเสน่ห์ดึงดูดใจอย่างยิ่งยวด  ได้ชมวิถีชีวิตของชาวบ้านริมน้ำ ไม่ว่าจะเป็นบ้านของชาวบ้าน
 สะพานพระราม 8 ที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม และได้มา
สะพานพระราม 8 ที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม และได้มา
 ทำบุญที่วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร ถือเป็นความเพลิดเพลินจำเริญใจที่หาไม่ได้บนท้องถนนจริงๆครับ ไหนๆก็ได้มาทำบุญที่วัดอรุณฯหรือวัดแจ้ง แล้ว ผมคงต้องขอเล่าเกี่ยวกับประวัติของวัดนี้เสียหน่อย
ทำบุญที่วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร ถือเป็นความเพลิดเพลินจำเริญใจที่หาไม่ได้บนท้องถนนจริงๆครับ ไหนๆก็ได้มาทำบุญที่วัดอรุณฯหรือวัดแจ้ง แล้ว ผมคงต้องขอเล่าเกี่ยวกับประวัติของวัดนี้เสียหน่อย 
 "วัดอรุณราชวราราม" ถือได้ว่าเป็นวัดโบราณสร้างมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา เดิมเรียกว่า "วัดมะกอก" ตามชื่อตำบลบางมะกอก ซึ่งเป็นตำบลที่ตั้งวัด ภายหลังเปลี่ยนเป็น "วัดมะกอกนอก" เพราะมีวัดสร้างขึ้นใหม่ในตำบลเดียวกัน แต่อยู่ลึกเข้าไปในคลองบางกอกใหญ่ชื่อ
        "วัดอรุณราชวราราม" ถือได้ว่าเป็นวัดโบราณสร้างมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา เดิมเรียกว่า "วัดมะกอก" ตามชื่อตำบลบางมะกอก ซึ่งเป็นตำบลที่ตั้งวัด ภายหลังเปลี่ยนเป็น "วัดมะกอกนอก" เพราะมีวัดสร้างขึ้นใหม่ในตำบลเดียวกัน แต่อยู่ลึกเข้าไปในคลองบางกอกใหญ่ชื่อ
คือ "วัดมะกอกใน" ต่อมาใน พ.ศ. 2310 เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช มีพระราชประสงค์จะย้ายราชธานี มาตั้ง ณ กรุงธนบุรี พระองค์ จึงทรงเสด็จกรีฑาทัพ ล่องลงมาทางชลมารค ถึงหน้า "วัดมะกอกนอก" นี้เมื่อเวลารุ่งอรุณพอดี จึงทรงเปลี่ยนชื่อ"วัดมะกอกนอก"เป็น "วัดแจ้ง" เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งนิมิตที่ได้เสด็จมาถึงวัดนี้เมื่อเวลาอรุณรุ่ง
 ครั้งเมื่อพระเจ้าตากสินมหาราช โปรดให้ย้ายราชธานีจากกรุงศรีอยุธยามาตั้ง ณ กรุงธนบุรี และได้ทรงสร้างพระราชวังใหม่ มีการขยายเขตพระราชฐาน เป็นเหตุให้วัดแจ้ง ซึ่งตั้งอยู่กลางพระราชวัง จึงไม่โปรดให้มี
          ครั้งเมื่อพระเจ้าตากสินมหาราช โปรดให้ย้ายราชธานีจากกรุงศรีอยุธยามาตั้ง ณ กรุงธนบุรี และได้ทรงสร้างพระราชวังใหม่ มีการขยายเขตพระราชฐาน เป็นเหตุให้วัดแจ้ง ซึ่งตั้งอยู่กลางพระราชวัง จึงไม่โปรดให้มี
 พระสงฆ์จำพรรษา นอกจากนั้นในช่วงเวลาที่กรุงธนบุรีเป็นราชธานี  ถือกันว่า
พระสงฆ์จำพรรษา นอกจากนั้นในช่วงเวลาที่กรุงธนบุรีเป็นราชธานี  ถือกันว่า
 วัดแจ้งเป็นวัดคู่บ้าน คู่เมือง เนื่องจาก
วัดแจ้งเป็นวัดคู่บ้าน คู่เมือง เนื่องจาก
 เป็นวัดที่ประดิษฐาน พระแก้วมรกต และพระบาง ซึ่งสมเด็จพระยามหากษัตริย์ศึก (พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช) ได้ อัญเชิญพระพุทธรูปสำคัญ 2
เป็นวัดที่ประดิษฐาน พระแก้วมรกต และพระบาง ซึ่งสมเด็จพระยามหากษัตริย์ศึก (พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช) ได้ อัญเชิญพระพุทธรูปสำคัญ 2
 องค์นี้ มาจากลาวในคราวที่เสด็จตีเมืองเวียงจันทร์ ได้ในปี พ.ศ. 2322 โดยโปรดให้อัญเชิญ พระแก้วมรกต และพระบางขึ้นประดิษฐาน
องค์นี้ มาจากลาวในคราวที่เสด็จตีเมืองเวียงจันทร์ ได้ในปี พ.ศ. 2322 โดยโปรดให้อัญเชิญ พระแก้วมรกต และพระบางขึ้นประดิษฐาน
เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอด
ฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 เสด็จเถลิงถวัลราชสมบัติ ได้โปรดให้สร้างพระนครใหม่ฝั่งตะวันออก ของแม่น้ำเจ้าพระยา และรื้อกำแพงพระราชวังกรุงธนบุรีออก วัดแจ้งจึงไม่ได้อยู่ในเขตพระราชวังอีกต่อไป พระองค์จึงโปรดให้วัดแจ้ง เป็นวัดที่มีพระสงฆ์จำพรรษาอีกครั้งหนึ่ง นอกจากนั้นพระองค์ทรงมอบหมายให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร (ร. 2) เป็นผู้ดำเนินการปฏิสังขรณ์วัดแจ้ง ไว้ในมณฑป และมีการสมโภชใหญ่ 7 คืน 7 วัน(ในปี พ.ศ. 2327 พระแก้วมรกตได้ย้ายมาประดิษฐาน ณ วัด พระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมหาราชวัง ส่วนพระบางนั้น สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกได้โปรด พระราชทานคืนไปนครเวียงจันทร์) แต่สำเร็จเพียงแค่กุฎีสงฆ์ก็สิ้นรัชกาลที่ 1 ใน พ.ศ. 2352 เสียก่อน
สำหรับปูชนียสถานสำคัญของวัดอรุณราชวราราม พระประธานในพระวิหาร คือ พระพุทธชัมภูนุทมหาบุรุษลักขณาอสีตยานุบพิตรเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง 6 ศอก หล่อด้วยทองแดงปิดทองพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้หล่อขึ้นพร้อมกับพระประธานในพระอุโบสถวัดสุทัศเทพวรารามเมื่อ พ.ศ. 2496 ศาลาท่าน้ำรูปเก๋งจีนมี 6 หลัง อยู่ที่เขื่อนหน้าวัด ภูเขาจำลอง อยู่หน้าวัดทางด้านเหนือ หลังศาลาน้ำรูปเก๋งจีน 3 หลัง อนุสาวรีย์ธรรมเจดีย์ อยู่ด้านใต้ของภูเขาจำลอง มีถนนที่ขึ้นจากศาลาท่าน้ำเก๋งจีน 3 หลังไปพระอุโบสถคั่นกลาง อนุสาวรีย์แห่งนี้มีกำแพงเตี้ยๆเป็นรั้วล้อมรอบ ภายในรั้ว นอกจากจะมีโกศหินทรายสีเขียวแบบจีนบรรจุอัฐิของพระธรรมเจดีย์แล้ว ยังมีประตูและมีภูเขาจำลองเตี้ยๆ กับปราศาทแบบจีนเล็กๆ มีตุ๊กตาหินนอนอยู่ภายใน มีภาษาจีนกำกับซึ่งชาวจีนอ่านว่า ฮก ลก ซิ่ว
ส่วนงานเทศกาลวัดอรุณ ร.ศ. 100 จัดขึ้นโดย "โครงการอนุรักษ์วัดอรุณ" ซึ่งเป็นโครงการที่เกิดขึ้นจากผู้มีใจรักในโบราณสถานแห่งประวัติศาสตร์ "วัดอรุณ" งานเทศกาลวัดอรุณ ร.ศ.100 มีวัตถุประสงค์เพื่อการอนุรักษ์และฟื้นฟูนาฏยศิลป์ไทยโบราณ ที่สาบสูญหรือหาชมได้ยาก ให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง ด้วยบรรยากาศของการสมโภชพระปรางค์ อย่างสมัยเมื่อครั้งต้นกรุงรัตนโกสินทร์ นาฏยศิลป์ที่จัดแสดงในงานเทศกาลวัดอรุณ ร.ศ. 100 จึงมุ่งเน้นนาฏยศิลป์ในสมัยรัตนโกสินทร์เป็นสำคัญ
การจัดงานครั้งแรกในปี พ.ศ. 2543 มีการรื้อฟื้นมหรสพโบราณที่สาบสูญไปนานกว่าร้อยปีให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง ทั้งหุ่นหลวง โขนชักรอก ละครนอก ละครใน หนังใหญ่ มโหรี และอาหารตำรับไทยเดิม ต่อมาในปีที่สอง พ.ศ. 2544 ได้จับเอานาฏยศิลป์ไทยและจีนมาจัดแสดงอันประกอบไปด้วย โขนชักรอก งิ้วแต้จิ๋ว หุ่นละครเล็ก หุ่นจีนไหหลำ ญวนหก-กระบี่กระบอง พะบู๊ และ สิงโตกวางตุ้ง เพื่อสะท้อนถึงภาพของสังคมสหอารยธรรมของสยามประเทศ ที่มีลักษณะเป็นสังคมเปิด ยอมรับความหลากหลายทางด้านเชื้อชาติ สังคม วัฒนธรรม และกลายเป็นที่ชุมนุมแห่งอารยธรรมลุ่มสุวรรณภูมิ
 ช่วงสุดท้ายของ"ตะลอนตามอำเภอใจ" ที่สำคัญไปกว่านั้น ถือเป็นวันที่ผมได้มามาตะลอนที่ท่าพระจันทร์ ตลาดนัดวังหลัง ท่าช้าง และท่าเตียน รวมถึงมีโอกาสได้ไปเวียนเทียน และทำบุญที่วัดอรุณราชวรมหาวิหาร เนื่องในวันอาสาฬหบูชา อีกด้วย ตลอดช่วงบ่ายจนถึงค่ำ การได้เดินทอดน่อง รวมถึงการนั่งเรือข้ามฝาก บริเวณเกาะรัตนโกสินทร์ จนถึงท้องสนามหลวง จนนั่งรถประจำทางกลับถึงบ้านจนมืดค่ำ ผมถือว่าเป็นอีกวันที่เติมเต็มประสบการณ์ใหม่ๆให้กลับตัวเองอีกครั้ง...!!!
         ช่วงสุดท้ายของ"ตะลอนตามอำเภอใจ" ที่สำคัญไปกว่านั้น ถือเป็นวันที่ผมได้มามาตะลอนที่ท่าพระจันทร์ ตลาดนัดวังหลัง ท่าช้าง และท่าเตียน รวมถึงมีโอกาสได้ไปเวียนเทียน และทำบุญที่วัดอรุณราชวรมหาวิหาร เนื่องในวันอาสาฬหบูชา อีกด้วย ตลอดช่วงบ่ายจนถึงค่ำ การได้เดินทอดน่อง รวมถึงการนั่งเรือข้ามฝาก บริเวณเกาะรัตนโกสินทร์ จนถึงท้องสนามหลวง จนนั่งรถประจำทางกลับถึงบ้านจนมืดค่ำ ผมถือว่าเป็นอีกวันที่เติมเต็มประสบการณ์ใหม่ๆให้กลับตัวเองอีกครั้ง...!!!
นวย เมืองธน
คือ "วัดมะกอกใน" ต่อมาใน พ.ศ. 2310 เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช มีพระราชประสงค์จะย้ายราชธานี มาตั้ง ณ กรุงธนบุรี พระองค์ จึงทรงเสด็จกรีฑาทัพ ล่องลงมาทางชลมารค ถึงหน้า "วัดมะกอกนอก" นี้เมื่อเวลารุ่งอรุณพอดี จึงทรงเปลี่ยนชื่อ"วัดมะกอกนอก"เป็น "วัดแจ้ง" เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งนิมิตที่ได้เสด็จมาถึงวัดนี้เมื่อเวลาอรุณรุ่ง
 เป็นวัดที่ประดิษฐาน พระแก้วมรกต และพระบาง ซึ่งสมเด็จพระยามหากษัตริย์ศึก (พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช) ได้ อัญเชิญพระพุทธรูปสำคัญ 2
เป็นวัดที่ประดิษฐาน พระแก้วมรกต และพระบาง ซึ่งสมเด็จพระยามหากษัตริย์ศึก (พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช) ได้ อัญเชิญพระพุทธรูปสำคัญ 2เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอด
ฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 เสด็จเถลิงถวัลราชสมบัติ ได้โปรดให้สร้างพระนครใหม่ฝั่งตะวันออก ของแม่น้ำเจ้าพระยา และรื้อกำแพงพระราชวังกรุงธนบุรีออก วัดแจ้งจึงไม่ได้อยู่ในเขตพระราชวังอีกต่อไป พระองค์จึงโปรดให้วัดแจ้ง เป็นวัดที่มีพระสงฆ์จำพรรษาอีกครั้งหนึ่ง นอกจากนั้นพระองค์ทรงมอบหมายให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร (ร. 2) เป็นผู้ดำเนินการปฏิสังขรณ์วัดแจ้ง ไว้ในมณฑป และมีการสมโภชใหญ่ 7 คืน 7 วัน(ในปี พ.ศ. 2327 พระแก้วมรกตได้ย้ายมาประดิษฐาน ณ วัด พระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมหาราชวัง ส่วนพระบางนั้น สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกได้โปรด พระราชทานคืนไปนครเวียงจันทร์) แต่สำเร็จเพียงแค่กุฎีสงฆ์ก็สิ้นรัชกาลที่ 1 ใน พ.ศ. 2352 เสียก่อน
สำหรับปูชนียสถานสำคัญของวัดอรุณราชวราราม พระประธานในพระวิหาร คือ พระพุทธชัมภูนุทมหาบุรุษลักขณาอสีตยานุบพิตรเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง 6 ศอก หล่อด้วยทองแดงปิดทองพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้หล่อขึ้นพร้อมกับพระประธานในพระอุโบสถวัดสุทัศเทพวรารามเมื่อ พ.ศ. 2496 ศาลาท่าน้ำรูปเก๋งจีนมี 6 หลัง อยู่ที่เขื่อนหน้าวัด ภูเขาจำลอง อยู่หน้าวัดทางด้านเหนือ หลังศาลาน้ำรูปเก๋งจีน 3 หลัง อนุสาวรีย์ธรรมเจดีย์ อยู่ด้านใต้ของภูเขาจำลอง มีถนนที่ขึ้นจากศาลาท่าน้ำเก๋งจีน 3 หลังไปพระอุโบสถคั่นกลาง อนุสาวรีย์แห่งนี้มีกำแพงเตี้ยๆเป็นรั้วล้อมรอบ ภายในรั้ว นอกจากจะมีโกศหินทรายสีเขียวแบบจีนบรรจุอัฐิของพระธรรมเจดีย์แล้ว ยังมีประตูและมีภูเขาจำลองเตี้ยๆ กับปราศาทแบบจีนเล็กๆ มีตุ๊กตาหินนอนอยู่ภายใน มีภาษาจีนกำกับซึ่งชาวจีนอ่านว่า ฮก ลก ซิ่ว
ส่วนงานเทศกาลวัดอรุณ ร.ศ. 100 จัดขึ้นโดย "โครงการอนุรักษ์วัดอรุณ" ซึ่งเป็นโครงการที่เกิดขึ้นจากผู้มีใจรักในโบราณสถานแห่งประวัติศาสตร์ "วัดอรุณ" งานเทศกาลวัดอรุณ ร.ศ.100 มีวัตถุประสงค์เพื่อการอนุรักษ์และฟื้นฟูนาฏยศิลป์ไทยโบราณ ที่สาบสูญหรือหาชมได้ยาก ให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง ด้วยบรรยากาศของการสมโภชพระปรางค์ อย่างสมัยเมื่อครั้งต้นกรุงรัตนโกสินทร์ นาฏยศิลป์ที่จัดแสดงในงานเทศกาลวัดอรุณ ร.ศ. 100 จึงมุ่งเน้นนาฏยศิลป์ในสมัยรัตนโกสินทร์เป็นสำคัญ
การจัดงานครั้งแรกในปี พ.ศ. 2543 มีการรื้อฟื้นมหรสพโบราณที่สาบสูญไปนานกว่าร้อยปีให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง ทั้งหุ่นหลวง โขนชักรอก ละครนอก ละครใน หนังใหญ่ มโหรี และอาหารตำรับไทยเดิม ต่อมาในปีที่สอง พ.ศ. 2544 ได้จับเอานาฏยศิลป์ไทยและจีนมาจัดแสดงอันประกอบไปด้วย โขนชักรอก งิ้วแต้จิ๋ว หุ่นละครเล็ก หุ่นจีนไหหลำ ญวนหก-กระบี่กระบอง พะบู๊ และ สิงโตกวางตุ้ง เพื่อสะท้อนถึงภาพของสังคมสหอารยธรรมของสยามประเทศ ที่มีลักษณะเป็นสังคมเปิด ยอมรับความหลากหลายทางด้านเชื้อชาติ สังคม วัฒนธรรม และกลายเป็นที่ชุมนุมแห่งอารยธรรมลุ่มสุวรรณภูมิ
นวย เมืองธน





 
 
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น